วิธีปลูกดาวเรือง (Marigolds)
ดาวเรือง ชื่อสามัญ Marigolds. ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Tagetes spp อยู่ในวงศ์ Compositae มีถิ่นกำเนิดใน Mexico โดยดาวเรืองที่พบเห็น และปลูกอยู่ทุกวันนี้มี 5 species คือ
- Tagetes erecta เรียกกันโดยทั่วไปว่า American Marigolds หรือ African Marigolds หรือ Friendship Marigolds เป็นชนิดต้นสูง
- Tagetes patula มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า French Marigolds เป็นชนิดต้นเตี้ย
- Triploid Marigolds เป็นลูกผสมที่เกิดจาก Tagetes erecta ซึ่งมีโครโมโซม 4 ชุด (tetraploid) กับ Tagetes patula มีโครโมโซม 2 ชุด (diploid) ลูกผสมที่ได้มีโครโมโซม 3 ชุด (triploid) บางครั้งเรียกว่า (Mules) การผลิตเมล็ดพันธุ์ที่มีโครโมโซม 3 ชุดนี้ค่อนข้างยาก ทำให้เมล็ดมีราคาแพง แต่เนื่องจากลูกผสมที่ได้แบบ triploid นี้บานดอกเร็วกว่า และดอกบานทนทานนานกว่าพ่อแม่ จึงยังทำให้เมล็ดขายได้เรื่อย ๆ
- Tagetes tenuifolia pumila หรือ Tagetes signata pumila หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Signet Marigolds นิยมปลูกมากในยุโรปโดยเฉพาะในบริเทน ส่วนในอเมริกาไม่ค่อยนิยม พุ่มต้นเตี้ย คือประมาณ 7-10 กลีบดอกขึ้นชั้นเดียว ขนาดดอกเล็กไม่ถึง 1 นิ้ว ส่วนมากปลูกเป็นขอบแปลง หรือ ในสวนหิน
- Tagetes filifolia หรือ Foliage Marigolds เป็นดาวเรืองใบ ใบสวยพุ่มต้นแน่นเหมาะสำหรับปลูกประดับขอบแปลง
ดาวเรืองทั้ง 5 ชนิดนี้ เป็นที่รู้จักคุ้นเคยและนิยมปลูกเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ American และ French Marigolds ซึ่งมีถิ่นกำเนิดใน Mexico ทั้งคู่ปลูกอยู่ทั่วไปตั้งแต่เหนือจดใต้สุด
Cortez เป็นคนแรกที่นำเอาเมล็ดจากเม็กซิโกเข้าไปปลูกในยุโรป เนื่องจากเป็นไม้ที่ปลูกง่าย เลี้ยงง่าย อีกทั้งดอกมีความสวยงามไม่น้อย จึงเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลาย ใช้เป็นดอกไม้บูชาหน้าแท่นบูชาพระนางแมรี่ ประกอบกับดอกดาวเรืองเมื่อแรกเริ่ม เดิมทีมีเพียงสีเดียว คือสีเหลือง จึงเรียกชื่อดอกไม้นี้ว่า Mary’s Gold และต่อมาเพี้ยนเป็น Marigolds
คนอังกฤษไปพบดาวเรืองชนิดต้นสูง Tagetes erecta ทางแถบเมดิเตอร์เรเนียนจึงเรียกว่า African Marigolds ซึ่งคนอเมริกันได้ตั้งชื่อไว้ก่อนแล้วว่า American Marigolds นอกจากนี้ยังมีคนไปพบ Marigolds ชนิดต้นเตี้ย Tagetes patula ที่ฝรั่งเศส เขาจึงเรียกว่า French Marigolds
ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่ได้รับความนิยมมากในสหรัฐอเมริกา เคยอยู่ในความนิยมเป็นอันดับหนึ่งตลอด เพิ่งจะตกอันดับ ไปเป็นอันดับสองเมื่อไม่นานมานี้เอง ได้รับความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงพันธุ์ และผสมพันธุ์มากกว่าได้ดอกชนิดอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้มีการชักชวน และรณรงค์ให้ใช้ดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำชาติของอเมริกา โดยเฉพาะบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์
ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่ปลูกง่ายเลี้ยงง่ายจริง ๆ แม้แต่ในประเทศไทยเอง ทางเหนือแทบทุกบ้าน จะปลูกต้นดาวเรืองไว้ข้างหม้อที่ใช้ใส่น้ำไว้สำหรับล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน ปรากฏว่า ดาวเรืองงามมากสีดอกเหลืองเข้ม กลีบดอกแน่น เรารู้จักจักในชื่อว่า ดอก “คำพู่จู้” “คำ” แปลว่า “ทอง” ส่วน “พู่จู้” แปลว่า เป็นกระจุกแน่น
ที่ได้ชื่อดังนี้ เนื่องมาจากสีและลักษณของดอกนั่นเอง คนแก่ ใช้สำหรับไปวัดในวันพระวันโกน เป็นที่น่าสังเกตว่าใบและกิ่งก้านมีกลิ่นเหม็นมาก เป็นที่น่ารังเกียจทำให้เสียความนิยมไปมิใช่น้อย แต่ในปัจจุบันนี้ วิชาการก้าวหน้าไปมาก ดาวเรืองพันธุ์ใหม่ ๆ มักจะไม่มีกลิ่นเหม็นของใบอีกเลย เรียกว่า leaf odorless ซึ่งได้จากการผสมพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์นั่นเอง ต้นฉบับของดาวเรืองที่นำมาผสมให้เกิด leaf odorless นี้ได้แก่ดาวเรืองชนิดที่เรียกว่า Tagetes lucida
การขยายพันธุ์ดาวเรือง
1. โดยใช้เมล็ด เมล็ดดาวเรืองมีขนาดไม่เล็กเลย เมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ เช่น พิทูเนีย, กล็อกซีเนีย และแอฟริกันไวโอเล็ต vAmerican Marigold มีจำนวน 10,000 เมล็ด/ออนซ์ ส่วน French Marigolds Triploid Marigold มี 9,000 เมล็ดต่อออนซ์ ดังนั้น การขยายพันธุ์ดาวเรืองโดยใช้เมล็ดจึงง่ายมาก ประกอบกับดาวเรืองเป็นไม้ดอกปลูกง่ายเลี้ยงง่ายอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเพาะเมล็ดในกระบะ
เพียงแต่เตรียมปลูกในที่ ๆ ต้องการปลูก ทำหลุมตื้น ๆ แล้วหยอดเมล็ดหรือวางเมล็ดลงไปหลุมละ 2-3 เมล็ด จะหยิบด้วยมือหรือใช้ปากคีบ ๆ เมล็ดก็ได้ตามแต่สะดวก ไม่จำเป็นต้องกลบเมล็ดด้วยดิน แต่ถ้ามีฟางหรือขุยมะพร้าว จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งคลุม หรือ ปิดเฉพาะหลุม ก่อนรดน้ำ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในหลุมปลูกได้ดีกว่า ทำให้เมล็ดออกได้เร็วกว่า ถ้าไม่คลุมด้วยฟางหรือขุยมะพร้าวดังกล่าวแล้ว อาจจะเกิดปัญหาได้บ้างในเรื่องความชุ่มชื้น ซึ่งดินหรือหลุมปลูกอาจจะแห้งเกินไป ทำให้เมล็ดงอกช้า หรือในทางตรงข้าม ถ้าไม่คลุมดินด้วยฟางหรือขุยมะพร้าว เวลารดน้ำถ้าไม่ระวังอาจจะพัดพาเอาดินข้าง ๆ หลุมกลบเมล็ดที่หยอดไว้หนามากไป ทำให้เมล็ดงอกช้า หรืออาจไม่งอกเลย เพราะเน่าตายไปก่อนก็อาจเป็นได้ เมื่อเมล็ดงอกแล้ว (ประมาณ 7-10 วัน) ต้นที่งอกโตพอสมควร ๆ จะถอนแยกให้เหลือเพียงต้นเดียวต่อ 1 หลุม ส่วนอีก 1-2 ต้น นำไปปลูกที่อื่น ๆ หรือในกระถางต่อไป
2. โดยใช้ส่วนยอดปักชำ (terminal cutting) วิธีนี้ไม่นิยมทำเพราะได้จำนวนต้นน้อยกว่า นิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดมากที่สุด แต่ถ้าจำเป็น หรือเป็นผลพลอยได้จากการเด็ดยอดจะนำเอาส่วนยอดที่มีความยาว เพียง 3-4 นิ้ว นำไปปักชำในกระบะ พลาสติกหรือลังเปบซี่ โดยพยายามรักษาความชุ่มชื่นให้ดีที่สุด อย่าให้ใบเหี่ยวได้ รากจะออกภายใน 7-10 วัน
วัสดุที่ใช้ปักชำควรจะเป็นทราย 1 ส่วน ผสมกับขุยมะพร้าว 2 ส่วน หรือทราย 1 ส่วน ผสมกับถ่ายแกลบ 1 ส่วน คลุกเคล้าให้ชื้น บรรจุลงในตะกร้าหรือกระบะเปปซี่เพียงครึ่งหนึ่ง หรือไม่เกินสองในสามของกระบะ ตัดยอดดาวเรืองชำลงไปในกระบะเปปซี่เพียงครึ่งหนึ่ง หรือไม่เกินสองในสามของกระบะ ตัดยอดลงไปในกระบะระยะห่าง 2 x 2 นิ้ว รดน้ำเช้าเย็น หรือ ถ้าอากาศร้อนและแห้ง อาจจะต้องเพิ่มในตอนเที่ยงและบ่ายด้วยตามความจำเป็น
ระยะปลูก
การปลูกดอกไม้เมื่อใช้ตกแต่งสถานที่นั้น มักจะนิยมปลูกในแปลงเป็นจำนวนมาก ๆ เพื่อเวลาบานดอกจะดูสวยสะดุดตา และถ้าดอกบานติดต่อกันโดยไม่มีช่องว่างเลย ยิ่ง่ทำให้ดูสวย ดังนั้น จึงควรปลูกดาวเรือง ในระยะปลูกที่กำลังพอดี ไม่ห่างมีจำนวนต้นน้อยไป
ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า ดาวเรืองมีหลายขนาด แต่ละขนาดมีพุ่มต้นแตกต่างกันออกไป ดังนั้น ระยะปลูกจึงขึ้นอยู่กับความสูงของพุ่มต้น จากการทดลองพบว่า
- พุ่มต้นสูง 6-8 นิ้ว ระยะปลูกควรเป็น 20 x 30 ซม.
- พุ่มต้นสูง 10-14 นิ้ว ระยะปลูกควรเป็น 30 x 30 ซม.
- พุ่มต้นสูง 16-20 นิ้ว ระยะปลูกควรเป็น 40 x 40 ซม.
- พุ่มต้นสูง 30-36 นิ้ว ระยะปลูกควรเป็น 50 x 50 ซม.
การปลูกดาวเรือง
แม้ว่าดาวเรืองจะสามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิดก็ตามที แต่ถ้าจะให้ได้ดาวเรืองที่มีพุ่มต้นสมบูรณ์ ดอกดกใหญ่และมีคุณภาพแล้ว ดินที่ใช้ปลูกควรจะมีธาตุอาหารตามความต้องการของพืชครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ ดินมีการระบายน้ำดี กักเก็บความชื้นไว้พอควร มี pH ประมาณ 6.5-7 ดังนั้น จึงควรจะปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพดังกล่าวก่อนที่จะปลูกดาวเรือง
การทดลองปลูกดาวเรืองในพื้นที่ที่ใช้ทรายขี้เป็ดถมที่สูงถึง 50 ซม. โดยไม่มีดินผสมอยู่เลย ทำได้โดยเติมปุ๋ยคอก, ขุยมะพร้าว, แกลบดินผุ, ประมาณอย่างละ 1 บุ้งกี้ ในพื้นที่ปลูก 2 ตร.เมตร คือแปลงปลูกกว้าง 1 เมตร ใช้วัสดุดังกล่าวทุก ๆ 2 เมตร ตามความยาวของแปลง พร้อมทั้งผสมปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 และร็อคฟอสเฟต อัตราอย่างละ 1 กก. ต่อแปลงขนาด 1 x 6 ตร.เมตร คลุกเคล้าให้เข้ากันหยอดเมล็ดดาวเรืองหลุมละ 2 เมล็ด ใช้ฟางหว่านลงบนแปลงโดยตลอดเพื่อรักษาความชื้น รดน้ำ เช้าเย็น เมล็ดจะงอกภายใน 7 วัน
หลังจากนี้คอยแหวกฟางออกให้ ต้นที่งอกใหม่โผล่พ้นฟางขึ้นมาได้ง่าย ถ้าหลุมใดมีมากกว่า 1 ต้น จะถอนแยกไปปลูกกระถางให้เร็วที่สุด คงเหลือไว้หลุมละ 1 ต้น พอต้นโตพอสมควร (หลังจากเพาะเมล็ดประมาณ 15 วัน) ได้ใช้ปุ๋ย Well Brow ผสามน้ำ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แกลลอน รดทุกเช้า หลังจากรดน้ำแล้วแปลงละ 1 บัว (1 X 6 ตารางเมตร) ตอนบ่ายรดน้ำเปล่า ๆ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้นอายุครบ 1 เดือน ได้ใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตราครึ่งช้อนชาต่อ 1 ต้น โดยฝังปุ๋ยลงไปในดินห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ รดน้ำตาให้โชก เมื่ออายุได้ 40 วัน ดาวเรืองเริ่มบานดอกและได้ให้ปุ๋ยใบเป็นครั้งสุดท้ายเมื่ออายุครบ 45 วัน ดาวเรืองบานดอกเต็มที่เมื่ออายุ 55 วัน ให้ดอกต้นละประมาณ 17-20 ดอก ขนาดดอกใหญ่ สีสดใส ดอกและต้นจัดได้ว่ามีคุณภาพดีมาก
ถ้าเป็นดินเหนียวหนัก การปรับปรุงดินก็ทำได้เช่นเดียวกัน เปลือกถั่วอินทรีย์วัตถุที่ใส่ลงไปไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยเทศบาล ปุ๋ยหมัก ขุยมะพร้าว เปลือกถั่ว แกลบดิบ ชานอ้อย ถ่ายแกลบ และอื่น ๆ ที่หยิบฉวยได้ง่าย ราคาไม่แพง หรืออาจจะเป็นวัสดุเหลือใช้ใกล้ ๆ บ้านท่าน จะช่วยทำให้คุณสมบัติทางกายภาพของดินดีขึ้น ถ้าใส่ลงไปในดินเหนียว อินทรียวัตถุเหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างอนุภาคของเม็ดดิน ทำให้เม็ดดินจับตัวกันเป็นก้อน ไม่อัดกันแน่น อันเป็นผลทำให้ดินมีความพรุนดีขึ้น มีการระบายน้ำ การอุ้มน้ำ ตลอดจนการถ่ายเทอากาศดีขึ้น
แต่ถ้าเพิ่มอินทรีย์วัตถุลงไปในทราย ซึ่งตามปกติทรายจะมีการระบายน้ำ และการถ่ายเทอากาศดีมาก แต่มีความสามารถในการดูดซับน้ำและธาตุอาหารไว้ต่ำมาก นอกจากนั้นในตัวของมันเองยังมีธาตุอาหารน้อยอีกด้วย อินทรีย์วัตถุจะเป็นตัวเชื่อมทำให้อนุภาพของทรายเชื่อมกันแข็งแรง ช่วยในการดูดซับน้ำและแร่ธาตุอาหารได้ดีขึ้น
ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาอันใดเลย ไม่จะเป็นดินเหนียว หรือทรายก็ตามแต่ ถ้าได้ปรับปรุงให้ได้คุณลักษณะตามที่พืชต้องการแล้ว จะปลูกดอกไม้ชนิดไหน ๆ ก็ย่อมได้ ยิ่งได้ไม้ดอกที่ไม่แค่ต่ออุณหภูมิ ดังเช่นดาวเรืองแล้ว ปัญหาไม่มีเลย แต่ดาวเรืองต้องการแสงแดดจัด จึงต้องปลูกดาวเรืองกลางแจ้ง ให้ได้รับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อยวันละ 6 ชม. ถ้าเป็นดินทรายต้องรดน้ำเช้าเย็น เพราะดินทรายระบายน้ำได้ดีเกินไป
การดูแลรักษาดาวเรือง
หากเป็นไปได้ ควรจะมีการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง และยากันราป้องกันโรคและแมลงที่จะมารบกวนเบียดเบียนอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เมื่อดาวเรืองบานดอกจะงดเลยก็ไม่มีปัญหา ดาวเรืองจะบานดอกต่อไปประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าได้ดอกตัดแต่งดอกที่เหี่ยวออกเรื่อย ๆ ดาวเรืองจะอยู่ได้นานพอสมควร
พันธุ์ดาวเรืองที่แนะนำ
ในระยะที่ผ่านมา มีพันธุ์ดาวเรืองใหม่ ๆ เป็นที่นิยมปลูกในต่างประเทศหลายพันธุ์ และในเมืองไทยก็ได้มีการทดลองปลูกด้วยแล้ว ปรากฏว่าได้ผลดีเช่นเดียวกัน จึงขอแนะนำไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
- Happy Face สีเหลืองเข้ม ขนาดดอก 3 นิ้วครึ่ง ต้นสูง 16-24 นิ้ว
- Gold Galore สีเหลืองเข้ม ขนาดดอก 3 นิ้วครึ่ง ต้นสูง 16-18 นิ้ว
- Yellow Galore สีเหลืองอ่อน ขนาดดอก 3 นิ้วครึ่ง ต้นสูง 16-18 นิ้ว
ถ้าท่านรักที่จะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ แต่ยังไม่เคยปลูกมาก่อนเลย แนะนำให้ปลูกดาวเรืองเป็นอันดับแรก รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน