กล็อกซีเนีย เป็นไม้ดอกชนิดหนึ่ง ที่นิยมปลูกเป็นไม้กระถางประดับภายในบ้านเรือน มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sinningia speciosa อยู่ในตระกูล Gesneriaceae
กล็อกซีเนีย มีต้นขึ้นเป็นกอสูงประมาณ 15 เซนติเมตร แตกขึ้นจากหัวซึ่งมีหน้าที่สะสมอาหาร ถ้าปลูกจากเมล็ดหรือจากการชำใบ หัวนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ดอกมีลักษณะเป็นรูประฆัง (Bell-shaped) สวยงามมาก ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-5 นิ้ว ก้านดอกยาวชูดอกขึ้นเหนือระดับต้นและใบ ทำให้เห็นดอกเด่นขึ้นปริมาณของดอกที่บานในคราวหนึ่งอาจจะมีตั้งแต่ 1-12 ดอก ซึ่งขึ้นอยู่กับพันธุ์และความสมบูรณ์ของต้น
จากการผสมและคัดพันธุ์ ทำให้ได้สีสวย ๆ และแปลก ๆ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สีของดอกกล็อกซีเนียที่มีอยู่ขณะนี้ก็มีสีชมพูอ่อน ชมพูแก่ สีขาว สีม่วงอ่อน ม่วงแก่ สีน้ำเงิน น้ำเงินขอบขาว แดงขอบขาว ม่วงประจุด และ ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากจะมีดอกสวยงามแล้ว กล็อกซีเนียยังมีใบที่สวยมากอีกด้วย ใบของกล็อกซีเนียมีรูปร่างเป็นรูปไข่ ขอบใบหยัก ใบหนามีสีเขียวเข้ม มีขนทั้งหน้าใบและหลังใบ ขนาดของใบแตกต่างกันตามพันธุ์และความอุดมสมบูรณ์ของต้น บางพันธุ์ยาวถึง 14 นิ้ว กว้าง 10 นิ้ว แต่อย่างไรก็ตามทั้งใบและดอกของกล็อกซีเนียมีลักษณะสวยงามมาก ทั้งมีขนาดได้สัดส่วนสวยสะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็น จึงเหมาะสำหรับปลูกประดับภายในบ้านเรือนเป็นอย่างยิ่ง
มีการนำกล็อกซีเนียจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาปลูกทดลองเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว ปัญหาที่พบในครั้งนั้นก็เป็นปัญหาอันเนื่องมาจากเครื่องปลูก และการปฏิบัติรักษา ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการเจริญเติบดต การบานของดอกและอื่น ๆ อีกหลายประการ ปัญหาที่พบ คือ
- ต้นอ่อนเน่า อันเนื่องมาจากเชื้อวิสาที่ติดมากับหัว
- โคนต้นเน่า เนื่องจากรดน้ำและเครื่องปลูกไม่ดี
- ใบและก้านดอกเน่า เนื่องจากการรดน้ำถูกต้นและใบ
มีการนำกล็อกซีเนียมาทดลองปลูก โดยใช้เครื่องปลูกสูตรใหม่ คือ ใบก้ามปูหมัก 1 ส่วน พีทมอส 1 ส่วน และทราย 1 ส่วน ปฏิบัติรักษาถูกวิธี ผลการทดลองปรากฎว่าได้ผลดีเกินคาด
พันธุ์กล็อกซีเนียที่ใช้ปลูก
- พันธุ์ Discoverer ดอกสีแดง
- พันธุ์ Minnteman ดอกสีแดง
- พันธุ์ Titan ดอกสีแดง
- พันธุ์ Marbott’s Pink ดอกสีชมพู
- พันธุ์ Polaris ดอกสีน้ำเงิน
- พันธุ์ Bavaria ดอกสีน้ำเงินคอขาว
- พันธุ์ Skyblue ดอกสีม่วง
- พันธุ์ Brunhilde ดอกสีขาว
- พันธุ์ Buells Giant Hybrids มีหลายสี
พันธุ์กล็อกซีเนียทั้ง 9 พันธุ์ ที่กล่าวมานี้เป็นพันธุ์ที่มีดอกชั้นเดียว ยังมีพันธุ์ดอกซ้อน (double) อีกเช่นพันธุ์ Blue Chips, Monte Cristo, Royal Flush, White Knight และ ฯลฯ
การขยายพันธุ์กล็อกซีเนีย
1. ใช้ใบปักชำ (leaf cutting) ใบที่ใช้ในการนี้ไม่ควรจะแก่และอ่อนจนเกินไป การตัดควรจะตัดก้านใบให้ชิดลำต้นให้มากที่สุด วัตถุที่ใช้การปักชำอาจจะใช้เช่นเดียวกับเครื่องปลูก หรือใช้ทรายก็ได้เวลาชำพยายามอย่าให้ขอบใบชิดกันเพราะจะทำให้เน่า ให้น้ำทางก้นกระถาง (sub-irrigation) โคนก้านใบจะเริ่มฟอร์มเป็นหัวและราก พร้อมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด เมื่อหัวใหญ่ขึ้นและมีรากมากพอสมควร ใบก็จะเหี่ยวแห้งไปในขณะเดียวกันยอดของต้นใหม่ก็จะเริ่มแตกออกมา พอได้ต้นโตพอสมควรคือใบประมาณ 4 ใบก็ย้ายปลูกในกระถาง 4 นิ้ว ต่อไป
2. ใช้หัวปลูก ภายหลังจากต้นให้ดอกแล้วต้นก็จะโทรม จึงงดการรดน้ำ รอจนกระทั่งต้นและใบเหี่ยวแห้งตายไปจะเหลือแต่หัวกล็อกซีเนียอยู่ในดิน ถ้าตัดต้นและใบทิ้งแล้วรดน้ำต่อไป หัวนี้ก็จะแตกเป็นต้นใหม่ แต่จะให้ดีควรเก็บหัวขึ้นมา ผึ่งลมไว้สัก 2-3 วัน แลัวตัดรากทิ้ง ถ้าต้องการจะปลูกใหม่ทันทีควรจะชำไว้ในกระบะใส่ทรายหยาบให้น้ำชื้นพอสมควร ข้อควรระวังในการชำหัวนี้คือ ชำหัวลึกเพียง 1 ใน 3 ของหัว และควรย้ายหัวปลูกเมื่อยอดที่แตกใหม่มีใบประมาณ 4-6 ใบ
3. ใช้เมล็ดปลูก หว่านเมล็ดลงในกระบะเพาะก่อนโดยใช้เครื่องปลูกเป็น medium ระวังอย่าให้เครื่องปลูกแฉะเกินไป การให้น้ำให้แบบ sub-irrigation ก่อนที่เมล็ดจะงอกควรใช้กระจกหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดกระบะชำ เพื่อช่วยรักษาความชื้นแฉะให้งอกเร็วขึ้น เนื่องจากเมล็ดกล็อกซีเนียมีขนาดเล็กมาก ต้นอ่อนจึงขึ้นเบียดกันแน่นมาก ฉะนั้น ควรจะแยกปลูกให้กระถางหมู่สักสองระยะก่อนที่จะย้ายปลูกในกระถาง 4 หรือ 5 นิ้ว การให้น้ำควรให้ทางก้นกระถางและไม่แฉะเกินไปเพราะจะทำให้ต้นเน่า
วิธีปลูกกล็อกซีเนีย
ก. เครื่องปลูก เครื่องปลูกที่ทางแผนกใช้ได้ผลดีที่สุด คือ ใช้ทราย ใบก้ามปูหมัก พีทมอส ในอัตราส่วน 1:1:1 แต่เนื่องจากพีทมอสมีราคาค่อนข้างแพงและหาซื้อได้ยาก จึงได้มีการทดลองหาวัตถุอื่นแทนพีทมอส โดยพยายามจะใช้วัตถุที่หาง่าย และมีอยู่แล้วในบ้านเรา พบว่าปุ๋ยมะพร้าวใช้แทนพีทมอสได้ดีมาก และที่สำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับเครื่องปลูกกล็อกซีเนียก็คือ จะต้องร่วนซุยโปร่ง และมีอินทรีย์วัตถุมาก อบหรือคั่วทำลายแมลง เชื้อโรค และเมล็ดวัชพืชที่มีอยู่ pH ประมาณ 6
ข. การปลูก ปลูกในกระถาง 4-5 นิ้ว ไม่ควรใช้กระถางโตกว่านี้ เพราะจะแฉะมากเกินไป เวลาปลูกใส่ทรายหยาบรองก้นกระถางประมาณ 1 นิ้ว แล้วเติมเครื่องปลูกที่ผสมน้ำชื้นพอสมควร (ไม่ถึงกับเปียก) ลงไปจนเต็มกระถาง (เติมแบบหลวม ๆ) แล้วจึงปลูกต้นกล้าลงไป เมื่อปลูกเสร็จแล้วไม่ควรจะกดดินตรงโคนต้นดังเช่นปลูกต้นไม้อื่น ๆ แต่ควรจะกระแทกก้นกระถางลงกับพื้นเพียงเบา ๆ ให้ดินยุบลงนิดหน่อย แล้วหยอดน้ำตรงโคนต้นให้ดินกระชับโคนต้นและราก ระยะการให้ดอกนับจากวันย้ายปลูก ถ้าปลูกจากหัวใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง และปลูกจากเมล็ดใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จากการทดลองพบว่า ปลูกจากหัวจะให้ปริมาณดอกมากและคุณภาพดีกว่าปลูกจากเมล็ด แต่การปลูกจากเมล็ดปฏิบัติรักษาได้ง่ายกว่าจากหัว เพราะปลูกจากหัวหากให้น้ำมากไปเพียงนิดเดียว หัวก็จะเน่า เป็นต้น
การดูแลรักษากล็อกซีเนีย
ก. แสง แสงเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งในการปลูกกล็อกซีเนีย เพราะถ้ากล็อกซีเนียได้แสงสว่างมากเกินไปจะทำให้ต้นสูงเก้งก้าง นอกจากนั้นแล้วยังให้ดอกเร็ว ทำให้ได้ดอกเล็ก เพราะต้นยังไม่โตและไม่สมบูรณ์พอ แต่ถ้าได้แสงน้อยเกินไปก็จะทำให้ได้ดอกช้า ก้านดอกยาวอ่อนล้มง่ายไม่แข็งแรง ฉะนั้น จึงควรปลูกกล็อกซีเนียในที่ที่มีแสงสว่างพอสมควร ไม่ควรให้ถูกแสดงแดดโดยตรง เพราะจะทำให้ใบไหม้และต้นเหี่ยว ถ้าปลูกตามชายคาบ้านควรจะปลูกทางด้านทิศตะวันออก และทางใต้จะได้ผลดีที่สุด ถ้าปลูกทางทิศอื่น เช่น ทางทิศตะวันตกก็ควรจะบังร่มหรือหาทางลดแสงลงบ้างก็จะช่วยให้กล็อกซีเนียเจริญเติบโตได้ดี
ข. อุณหภูมิ ที่เหมาะที่สุดประมาณ 75 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ดังได้กล่าวมาแล้วเช่นกัน มันสามารถจะยืดหยุ่นตามแฟคเตอร์อื่นได้ เช่น อุณหภูมิสูงเกินไปเราก็แก้โดยระบายอากาศถ่ายเทความร้อน และเพิ่มความชื้นในบรรยากาศก็จะลดอันตรายอันจะเกิดขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิได้
ค. การให้น้ำ ไม่ควรรดน้ำถูกใบและต้น เพราะจะทำให้เน่า ควรจะให้น้ำทางก้นกระถาง (sub-irrigation) หากไม่สะดวกที่จะให้น้ำทางก้นกระถางได้ก็จงรดเฉพาะดินจริง ๆ อย่าให้น้ำมากเกินไป ควรจะปล่อยให้ดินปลูกแห้งบ้างเป็นครั้งคราว ต้นไม้ส่วนมากมักจะทนแล้งได้ดีกว่าน้ำขัง
ง. การให้ปุ๋ย พบว่า การให้ปุ๋ยทางใบ โดยใช้ปุ๋ย Ra-pid Go (23:19:17) ในอัตราส่วน 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดแบบพ่นฝอย (spray) ทุกอาทิตย์ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเริ่มมีดอกตูม
ปัญหาที่พบในการปลูกกล็อกซีเนีย
ถ้าได้ใช้เครื่องปลูกที่มีคุณสมบัติดังได้กล่าวมาในข้างต้น และได้อบหรือคั่วก่อนปลูก ทั้งได้รับการปฏิบัติรักษาที่ถูกวิธี มีการฉีดปุ๋ยทุกอาทิตย์ เชื่อเหลือเกินว่าจะประสบผลสำเร็จแน่นอน แต่อาจจะพบปัญหาทางโรคและแมลงบ้าง เช่น
โรค
- โรคโมเสค ป้องกันโดยกำจัดแมลงที่เป็นสื่อนำโชค เมื่อพบต้นที่เป็นโรคควรทำลายเสีย ขยายพันธุ์ จากต้นที่ปราศจากโรค
- โรคมิลดิว ป้องกันและกำจัดโดยพ่นด้วย sulfur
แมลง
- เพลี้ยแป้ง กำจัดโดยฉีดนิโคตีนซัลเฟต หรือ มาลาไธออน ตาม direction ที่ติดไว้ข้างกระป๋อง
- เพลี้ยไป ฉีดด้วย DDT หรือ อื่น ๆ