วิธีปลูกดอกดึง (Climbing lily)
ดองดึง ชื่อวิทยาศาสตร์ Gloriosa rothschildiana ชื่อไทย กลอริโอสา, ดาวดึงส์, ดองดึง, ว่านก้ามปู, พันมหา, หัวขวาน, คมขวาน, บ้องขวาน, มะขาโก้งชื่อสามัญ Glory lily, Climbing lily อยู่ในวงศ์ Liliaceae
ดองดึง เป็นพืชหัวเมืองร้อน (Tender bulb) อยู่ในตระกูลเดียวกับหัวหอมเป็นพืชกิ่งไม้เลื้อยและกึ่งพืชล้มลุก มีแหล่งกำเนิดที่ ยูกันดา ทวีปแอฟริกา เช่น พันธุ์ G. rothschildiana และมีเพียงชนิดเดียวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย คือพันธุ์ G.superba ซึ่งจะพบบริเวณทางภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลงไป ดังนั้น จะเห็นได้ว่าดองดึงมีเขตกระจายพันธุ์อยู่ในแถบเอเชียและแอฟริกา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของดองดึง
ชนิดของราก เป็นรากหัว (tuberous root) มีสีน้ำตาลอ่อนผิวเป็นมัน ซึ่งมีลักษณะยาวรูปร่างกลมขนาดสม่ำเสมอตลอด รากหัวนี้เป็นที่เก็บสะสมอาหาร และมีจุดกำเนิดใหม่อยู่ทางด้านปลายของหัว (distal end) รากหัวมีความยาวเฉลี่ย 10-15 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 ซ.ม. รากหัวที่เจริญเติบโตมานั้น ลักษณะคล้ายแง่งของกระชายที่ต่อเนื่องกันจากโคนต้นที่ให้กำเนิด
รากหัวใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเริ่มเจริญเติบโตทันทีทันใด ที่ทำการปลูกรากหัวใหม่ หรือเริ่มการเจริญเติบโตครั้งต่อไป โดยมีประมาณ 3-7 รากหัว แล้วแต่ความสมบูรณ์ของหัวที่ปลูก ซึ่งจะเจริญเติบโตได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งลำต้นเหี่ยวเฉาตายไป สามารถขุดนำเอารากหัว หรือรากเหล่านั้นมาเก็บไว้ขยายพันธุ์ในฤดูต่อไปได้ แต่ด้วยเหตุที่ว่า การเจริญเติบโตของต้นใหม่เกิดที่ปลายสุดของราก
เพราะฉะนั้นพึงระมัดระวัง อย่าให้เกิดการหักชำรุดเสียหายของปลายราก เพราะฉะนั้นพึงระมัดระวัง อย่าให้เกิดการหักชำรุดเสียหายของปลายราก ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของต้นใหม่เป็นอันขาด เพราะหัวจะแห้งและแข็งไป ไม่สามารถนำมาปลูกได้ เมื่อปลูกมีลำต้นงอกขึ้นมาแล้ว ซึ่งในขณะนั้นย่อมจะมีรากหัวใหม่สีขาวเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดการหักเน่าเสียหายของรากหัวที่ให้กำเนิดลำต้นนั้น ลำต้นอาจจะเจริญเติบโตต่อไป แต่ไม่สามารถให้ดอกได้ในฤดูนั้น และยังไปชงักการเจริญเติบโตและขนาดของรากหัวที่เกิดขึ้นใหม่ด้วย
รากหัวของต้นไม้ชนิดนี้ จำเป็นจะต้องมีการพักตัวหลังการเจริญเติบโตในช่วงหนึ่ง ๆ ถ้าหากนำรากหัวนั้นออกมาจากดินปลูก จำเป็นต้องเก็บหัวนั้นให้มีระยะพักตัว 2-3 เดือน โดยเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ปราศจากแสงแดดโดยตรง และมีความชื้นประมาณ 60-70% เก็บไว้จนกระทั่งปลายรากหัว เริ่มให้กำเนิดปมขาว ๆ คล้ายหน่อของลำต้นเล็ก ๆ จึงจะสามารถนำไปปลูกและให้ดอกได้ ดอกแรกประมาณภายใน 21 วัน รากหัวซึ่งให้กำเนิดลำต้นนั้น จะทำหน้าที่ให้อาหารแก่ลำต้น ส่วนดอกจะสลายตัวไปไม่สามารถที่จะนำมาใช้ประโยชน์ หรือปลูกเพื่อให้กำเนิดต้นใหม่ได้อีก
รากดองดึง รากที่ใช้ดูดซึมอาหาร หรือน้ำ และใช้ยึดลำต้นนั้น เป็นรากฝอยเกิดขึ้นที่โคนลำต้นตรงจุดกำเนิดเหนือรากหัว รากนี้จะแผ่กระจายไปบนผิวดินเท่านั้น ไม่หยั่งลงไปในดินและจะสลายตัวตายไป เมื่อลำต้นเหี่ยวเฉา ไม่สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากรากเหล่านี้ได้ใหม่อีก
ลำต้นดองดึง ลำต้นใหม่ เกิดขึ้นที่ด้านปลายของราก เป็นลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซ.ม. ลำต้นสูง 1-3 เมตร อาจจะมีการแตกกิ่งก้านสาขาได้ ปกติแล้วจะมีประมาณ 3-4 แขนง แขนงจะเกิดขึ้นเมื่อลำต้นสูงประมาณ 75-100 ซ.ม. ลำต้นสามารถเลื้อยอยู่ได้โดย การเกาะของปลายใบ เรียกว่า tendril
ใบดองดึง เป็นชนิดใบเดี่ยว รูปหอก ออกตามข้อลำต้น ข้อละ 1-3 ใบ โคนใบกว้าง 5-6 ซ.ม. ไม่มีก้านใบ ค่อย ๆ เรียวเป็นหางยาวไปทางปลาย โดยส่วนของใบที่แท้จริงยาวประมาณ 10-13 ซ.ม. และเป็นส่วนของใบ (Tendril) 7-9 ซ.ม. เมื่อใบเริ่มแตกครั้งแรก จะมีลักษณะการเจริญเติบโต แบบสลับ (alternated arrnagement) เพียงประมาณ 3-4 ใบแรก ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นการจัดเรียงตรงกันข้าม (opposite) ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าข้อใดเกิดดอก ก็จะมีใบเพียงใบเดียวตรงข้ามกับก้านดอก หรือถ้ามีการแตกแขนงใบนั้น ก็จะจัดเรียงแบบ whored arrangenent มีประมาณ 3 ใบ
ปล้อง (Internode) มีความยาวประมาณ 5-8 ซ.ม. เส้นใบมีการจัดเรียงแบบขนานไปตามขอบใบ เห็นร่องกลางใบชัดเจน
ดอกดองดึง เป็นดอกเดี่ยว (single flower) มีก้านดอกยาวตามง่ามใบ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) ดอกตูกมีลักษณะสีเขียว มีรูปร่างคล้ายกระดิ่งคว่ำลงกว้างประมาณ 1-1.5 ซ.ม. ยาวประมาณ 3-4 ซ.ม. เมื่อบานเต็มที่แล้ว มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-15 ซ.ม. ดอกมี 6 กลีบ (petal และ sepal=perianth) กลีบดอกกว้างประมาณ 1-2 ซ.ม. ยาว 6-8 ซ.ม. ซึ่งเรียวบิดตามขอบกลีบ
กลีบดอกนี้เมื่อเริ่มบาน ปลายกลีบจะค่อย ๆ งอขึ้นทางด้านหลัง จนกระทั่งปลายกลีบเกือบจดชนกัน ในช่วงนี้ดอกจะมีสีเหลืองตรงโคนกลีบ และขอบกลีบ ซึ่งระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 15 วัน ต่อจากนั้นกลีบดอกค่อย ๆ งุ้มกลับมาอยู่ในแนวระนาบ จนกระทั่งเหี่ยวแห้งไปขณะที่กลีบดอกแสดงอาการงุ้มกลมนั้น กลีบดอกก็จะเริ่มมีสีแดง แผ่ลามไปบริเวณสีเหลืองเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นสีแดง
เกสรตัวผู้มี 6 อัน ชี้ไปทางด้านหลัง ปลายก้านของเกสรตัวผู้ติดกับอับเรณู (anther) ตรงกลาง ทำให้อับเรณูหันไปมาได้ (dorifixed anther) อับเรณูมีขนาดกว้าง 1-2 ม.ม. ยาว 1 ซ.ม.
เกสรตัวเมีย (stigma) มองเห็นไม่เด่นชัด แต่จะเห็นรังไข่ขนาดสีเขียวเด่นตั้งอยู่บนใจกลางของดอก มองเห็นเป็น 3 พู (locule) ลำต้นหนึ่ง ๆ จะให้ดอกประมาณ 10 ดอกถึง 30 ดอก ซึ่งขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของรากหัวและการดูแลรักษาในระหว่างการเจริญเติบโต ช่วงระยะการออกดอกนั้นจะกินเวลา 1-3 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การบานของดอกจะบานต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ โดยจะเริ่มบานที่ดอกที่เจริญเติบโตก่อน ซึ่งอยู่ข้างล่างขึ้นไปข้างบนปลายยอดอย่างเด่นชัด ก้านเกสรตัวเมีย (style) ยาว 4-5 ซ.ม. จะแตกแขนง 3 แขนงตรงปลาย แต่ที่โคนตรงรอยต่อของพูรังไข่นั้นจะพับเกือบตั้งฉากกับรังไข่ ซึ่งมองดูคล้ายกับด้ามขวาน (style ก้านรังไข่) กับคมขวาน (ovary)
ผลดองดึง มีลักษณะสีเขียวมันเป็นฝัก (pod หรือ capsule) ยาวประมาณ 8-10 ซ.ม. กว้างประมาณ 2-3 ซ.ม. เมื่อแก่แล้วจะมีสีน้ำตาล เริ่มตั้งแต่ผสมจนกระทั่งติดเมล็ดแก่กินเวลา 50 วัน
เมล็ดดองดึง เป็น freshy มีส่วนเนื้อเยื่อสดบาง ๆ หุ้ม seed ที่แท้จริงมีสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดแข็งเป็น endosperm ไม่มีส่วนปกคลุมที่หุ้ม (hard seed coat) ดังนั้น เมล็ดไม่สามารถเก็บรักษาไว้นาน ควรจะรีบทำการเพาะโดยเร็ว เมล็ดที่ผสมตัวเอง จะใช้เวลาประมาณ 50 วัน ที่จะแก่และเพาะได้ เมล็ดอ่อนมีสีขาว เมื่อเมล็ดแก่จะมีสีแดงคล้ายสีน้ำหมาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-0.8 ซ.ม. พูหนึ่ง ๆ มีประมาณ 10-20 เมล็ด แล้วแต่ความสมบูรณ์ (ฝักหนึ่งจะได้ประมาณ 30-50 เมล็ด) เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลมใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว
ฝักดองดึง ฝักสีตองอ่อน และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาล เมื่อฝักแก่ผิวจะย่นและพูทั้งสามจะแตกออกจากกันให้เมล็ดร่วงออก
ดองดึงพันธุ์ต่าง ๆ
นอกจาก Glosiosa rothchidiana แล้วยังมีอยู่อีกหลายชนิดที่แหล่งกำเนิดกระจัดกระจายอยู่ในแอฟริกาและเอเชีย
Gloriosa superba มีกลีบดอกยาวมากกว่า 3 นิ้ว บิดเป็นเกลียวลำต้นสูง 5-10 ฟุต ใบเรียวยาว 2-3 นิ้ว ใบแคบกว่า 1 นิ้ว เมื่อบานครั้กแรก ดอกมีสีเหลือง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเหลืองแดง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีแสดเข้ม มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งพันธุ์นี้จะพบอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยทั่ว ๆ ไป
Gloriosa carsonii มีลักษณะเด่น มีกลีบดอกยาวประมาณ 6 ซ.ม. หรือสั้นกว่า ดอกมีจำนวนมาก อัดตัวกันแน่นคล้ายช่อกลีบดอกเป็นริ้วจนกระทั่งบิดเป็นเกลียว ขอบกลีบดอกมีสีเหลือง style ตั้งตรงมี 3 stigma มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกากลาง
Gloriosa simplex กลีบดอกยาวกว่า 3 นิ้ว ดอกไม่บิดเป็นเกลียว ดอกมีสีเหลือง เมื่อบานแล้วจะคงสภาพสีเหลืองต่อไป เมื่อปลูกในร่มแต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง เมื่อถูกแสงแดดกลีบดอกกว้างกว่า Gloriosa superba กลีบดอกเป็นลอนน้อย ๆ และกลีบดอกเมื่อบานเต็มที่ ปลายจะไม่งอเป็นตะขอเหมือน Glosiosa rothchidiana มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างไปบ้างแต่ยังไม่มีปรากฎแพร่หลาย
การเตรียมดินปลูก
ชอบดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ควรเตรียมดินให้ผิวหน้าลึกประมาณ 15-20 ซ.ม. pH ที่เหมาะสมประมาณ 6-7 ดินควรมีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร โดยการเพิ่มอินทรีย์วัตถุ อาจเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกก็ได้ฟอสฟอรัสในดินควรจะมีพอสมควร โดยการใส่ปุ๋ยประเภท ฟอสฟอรัสสูง เช่น กระดูกป่น, Rock phosphate หรือปุ๋ย Super phosphate
การปลูกดองดึง
เมื่อได้รากหัวที่เริ่มมีการเจริญเติบโต คือ มีปุ่มตรงปลายรากหัว จึงนำไปปลูกจะมีการเจริญเติบโตได้รวดเร็วกว่ารากหัวที่ยังไม่แสดงอาการงอกของปุ่มการวางรากหัว ควรอยู่ในแนวระนาบ และกลบลึกประมาณ 2-3 ซ.ม. และควรจะหันจุดเจริญไปทิศทางที่จะให้ลำต้นเลื้อยหรือเกาะ
ควรเตรียมปักเสาหรือสิ่งที่จะให้ต้นไม้เกาะไปพร้อมการเตรียมดิน การปักเสาทีหลังอาจทำความเสียหายแก่ ราก ลำต้น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ การปลูกในกระถาง ควรใช้กระถางขนาดใหญ่ เช่น ขนาด 12 นิ้ว ปลูก 2-3 หัว ต่อกระถาง ทำหลักปักหรือลวดตาข่าย ทำเป็นขอบใต้ต้นไม้เลื้อยขึ้นมาสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ถ้าต้องการปลูกริมรั้ว หรือบนแปลงที่มีโครงสร้างให้ต้นไม้เลื้อยเกาะได้นั้น ควรปลูกระยะห่าง ประมาณ 30-50 ซ.ม.
การดูแลรักษา
ครั้งแรกเริ่มให้น้ำเพียงเล็กน้อยพอชื้น ระวังอย่าให้มาก จะทำให้รากหัวเน่าตายได้ เมื่อลำต้นเริ่มงอกจึงให้น้ำสม่ำเสมอ ซึ่งทำตลอดไปจนกระทั่งต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต หรือให้ดอกสุดท้าย ถ้าปลูกในกระถางก็งดการให้น้ำ และเก็บหัวมาบังคับให้ออกดอกในฤดูต่อไป ถ้าหากว่าปลูกบนแปลงปลูกนั้นก็ปล่อยทิ้งเมื่อลำต้นเหลืองแห้ง ก็ทำการตัดลำต้นทิ้ง งดการรดน้ำปล่อยให้ลำต้นงอกให้ดอกไนปีต่อไป หรือจะขุดออกมาแล้วแยกขยายพันธุ์เก็บไว้ปลูกในฤดูต่อไปก็ได้
การให้ปุ๋ยดองดึง
ควรให้ปุ๋ยอัตราส่วน 1:1:1 หรือ 1:2:2 ตลอดการเจริญเติบโต และออกดอกเพื่อที่จะได้ดอกที่สวยงาม และรากหัวที่รากใหญ่สมบูรณ์ปุ๋ยที่ให้ปุ๋ยประเภทที่มีเกลือต่ำ อาจจะเป็นใบหรือปุ๋ยน้ำ ไม่ควรให้ปุ๋ยหว่าน หรือ side dress (โรยข้างต้น) เพราะจะทำอันตรายต่อรากได้ง่าย ถ้าหากเป็นดินเหนียวหรือดินแน่นเกินไป จะต้องทำการพรวนดิน พึงระมัดระวังให้มากเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดกับรากหัวเก่าหรือรากหัวใหม่ที่ฝังในดิน
โรคและแมลง
แมลงที่ทำลายส่วนมากเป็นแมลงกินใบและดอกอ่อน เป็นทั้งหนอนและแมลงปีกแข็ง ก็ควรใช้ยาฆ่าแมลงฉีดป้องกันล่วงหน้า
โรคที่พบมีโรคราแห้ง (powdery mildew) โรคสนิมเหล็ก (rust) ใช้ยาฆ่ารา (fungicide) ฉีดป้องกันโรคอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดกับรากหัว (bulb rot) ซึ่งเป็นโรคเน่าของรากหัว ก็ควรที่จะทำลายรากหัวทิ้ง โดยทำการชุบรากหัวด้วยยาฆ่าเชื้อรา หลังจากเก็บเกี่ยวในช่วงเก็บรากหัวและดูแลรักษาอาการอีกชนิดหนึ่งที่เกิดกับหัวการเกิดเป็นผงแป้งของรากหัว (Chalking) จะมีอาการผุยุ่ยสลายของรากหัว ซึ่งคาดคะเนว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเสื่อมคุณภาพของหัว ไม่สามารถใช้ต่อไปได้อีก
การเก็บรากหัวและการดูแลรักษา
เมื่อใบเริ่มแสดงอาการเหลือง และลำต้นเริ่มเหี่ยวเฉาก็ให้หยุดการให้น้ำทันที ในช่วงเวลานี้ รากหัวก็จะเริ่มการเจริญเติบโตเต็มที่ โดยเมื่อขุดเอามาแล้ว หัวจะเป็นสีน้ำตาลเป็นมัน ด้วยเหตุที่รากหัวอาจจะยาวถึง 10 นิ้ว ห่างจากโคนต้น
ดังนั้น จึงเป็นการดีที่จะขุดดินรอบ ๆ ต้นให้ห่างจากกัน 1 ฟุตครึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายรากหัว หรือจุดเจริญด้านปลายของราก เมื่อขุดขึ้นมาแล้ว ทำความสะอาดโดยปัดดินออกให้หมด ไม่ควรล้างน้ำ เพราะความชื้นจะทำให้โรคและแมลงเข้าทำลายง่าย
ถ้ารากหัวใดมีแผลใช้ยาฆ่าราหรือปูนแดงทา เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของโรคและแมลง รากหัวที่ขุดขึ้นมาทั้งหมด ไม่ควรแยกออกจากกัน ควรเก็บรวมกันทั้งเหว้า และอย่าไปกระทบกระเทือนด้านปลายของราก ควรวางผึ่งลมไว้ในแนวระนาบ อย่าตากแดดจะทำให้เหี่ยวง่าย ถ้าเก็บในที่มีอุณหภูมิและความชื้นต่ำจะเป็นการดีอาจจะวางไว้บนภาชนะแล้วใช้แกลบแห้งคลุมเป็นขั้น ๆ เนื่องด้วยจะเก็บไว้ประมาณ 2-3 เดือน ควรมีการตรวจทุก 2 สัปดาห์
การใช้ประโยชน์ดองดึง
Gloriosa เหมาะสำหรับปลูกประดับเป็นไม้เลื้อย ตามริมรั้วโดยเฉพาะ ในที่ที่ต้องการดอกสีเหลืองอมแดง ในช่วงเวลา 2 เดือน หลังจากฝนตก นอกจากนั้น ดอกยังนำมาทำเป็นช่อดอกไม้ติดเสื้อ ซึ่งทนได้ 10-15 ชั่วโมง โดยไม่เหี่ยวเฉา และมีสีสันและความสวยเด่น แปลกตาดีด้วย ประโยชน์อื่น ๆ นั้น ก็สามารถนำรากหัวไปใช้เป็นสมุนไพร เช่น บำบัดโรคเก๊าท์ โรคมะเร็ง และโรคปอดตามข้อได้อีกด้วย