วิธีปลูกหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)

หนอไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเมืองไทยหน่อไม้ฝรั่งเป็นผักที่เพิ่งได้รับความสนใจ และเพาะปลูกกันอย่างแพร่หลายเมื่อไม่นานมานี้เอง สมัยก่อนเรารับประทานกันในรูปของผักกระป๋องที่ประเทศไทยสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพงมาก ปัจจุบันมีแหล่งปลูกหลายจังหวัด เช่น ลำปาง เชียงใหม่ และเพชรบุรี และส่งจำหน่ายในตลาดผักสด อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น หน่อไม้ฝรั่งก็ยังแพงอยู่

ส่วนที่ใช้บริโภคคือ หน่ออ่อนที่เพิ่งแทงโผล่จากผิวดินขึ้นมา ประมาณ 8-10 นิ้ว นำมาใช้ผัด ต้ม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทำผักอุตสาหกรรมในการอัดกระป๋อง แช่แข็งเพื่อส่งออกตลาดต่างประเทศได้ด้วย เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีอายุยืนนาน เจริญเติบโตให้หน่อต่อไปได้เรื่อยๆ จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ข้างรั้ว หรือพืชสวนครัวเพื่อไว้รับประทานเองด้วย

หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวกรีกรู้จักวิธีปลูกใช้เป็นอาหารมา 200 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อลำต้นโตพันดินเต็มที่จะสูงประมาณ 2 เมตร มีต้นตัวผู้แยกกันกับต้นตัวเมีย หน่อของต้นตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่า ดังนั้น ผลผลิตจึงสูงกว่าและต้นตัวเมียยังมีอายุยืนยาวกว่าด้วย เมล็ดพันธุ์จะเก็บได้ที่ต้นตัวเมีย ในแปลงปลูกมักพบว่าต้นตัวผู้กับต้นตัวเมียจะเป็นอัตราส่วน 1:1

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของหน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่ปรับตัวได้ดีกับสภาพดินฟ้าอากาศต่างๆ กัน อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตประมาณ 30-35 องศาเซลเซียส ชอบดินร่วนและดินร่วนปนทราย หน้าดินควรลึกประมาณ 12 นิ้ว ดินต้องมีความอุดมสมบูรณ์ ความชื้นในดินสูงเพียงพอและสม่ำเสมอ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ต้องการแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน หากปลูกในดินเหนียวจะทำให้ยอดอ่อนโค้งมากกว่าดินร่วน หากอุณหภูมิสูงขึ้น พบว่าหน่อจะยืดตัวเร็วกว่าในอุณหภูมิต่ำ

การเตรียมดินและการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง

การเตรียมแปลงเพาะกล้า กล้าจะต้องอยู่ในแปลงเพาะนาน 4-6 เดือน ดังนั้นดินในแปลงกล้าควรอุดมสมบูรณ์ร่วนซุย และให้มีความลึกหน้าดินประมาณ 15-20 เซนติเมตร ต้องเก็บวัชพืชออกให้หมด ควรใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 5 กรัม/ตารางเมตร โดยทั่วไปแปลงกล้ามักกว้างประมาณ 1 เมตร

มักพบว่าเมล็ดหน่อไม้ฝรั่งมักมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเก็บเมล็ดพันธุ์ หากเมล็ดพันธุ์ถูกเก็บในระยะที่ผลสุกแดงเต็มที่ เปอร์เซ็นต์ความงอกจะสูงในการเพาะเมล็ด ควรนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำ 3-5 วัน ในอุณหภูมิ 30-32 องศาเซลเซียส จะเร่งการดูดน้ำ และทำให้เมล็ดงอกเร็วกว่าการโรยเมล็ดลงในแปลงเพาะโดยตรง หรืออาจแช่เมล็ดในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 35-40 องศาเซลเซียส ก็ได้ หลังจากนั้นเอาขึ้นผึ่งพอให้แห้งจึงเพาะในแปลงที่ชุ่มน้ำ อย่าให้แปลงเพาะแห้งเพราะจะทำให้ไม่งอก

การเพาะควรทำร่องตื้นๆ ในแปลงเพาะระยะระหว่างร่องห่างกัน 10-15 เซนติเมตร แล้วหยอดเมล็ดลงไปในร่องนั้นกลบด้วยดินละเอียดแล้วเอาฟางคลุม รดน้ำ เมล็ดจะงอกภายใน 2-4 สัปดาห์ หากเป็นฤดูหนาวหรือเมล็ดไม่ได้แช่น้ำมาก่อน จะงอกนานถึง 6 สัปดาห์ เมื่องอกแล้วควรสังเกตถอนต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมดทิ้งไป และทิ้งระยะกล้าให้เหลือห่างกันประมาณ 5-10 เซนติเมตร ต้องปฏิบัติดูแลกล้าอย่างดี ให้น้ำสม่ำเสมอ ตรวจโรคและแมลงอยู่ตลอดเวลา การให้ปุ๋ยฟอสฟอรัสแก่กล้า จะทำให้กล้าสมบูรณ์และให้ลำต้นใต้ดินขนาดใหญ่ เมื่อกล้ามีอายุ 4-6 เดือน จะย้ายกล้าลงปลูกในแปลงปลูก โดยทั่วไปจำนวนเมล็ดประมาณ 350-550 กรัม จะเพียงพอในพื้นที่ปลูก 1 ไร่

การเตรียมปลูก เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นผักที่มีอายุหลายปีและมีระบบรากลึกควรเตรียมดินแปลงปลูกให้ดี โดยขุดไถดินให้ลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน เก็บวัชพืชออกให้หมด ในการย่อยดินควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วลงไปด้วยในอัตราประมาณ 2-4 ตันต่อไร่ หากดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวลงไปตอนเตรียมดินนี้ด้วย

ระยะปลูกที่ใช้คือ 75 – 150 เซนติเมตร โดยใช้ต้นกล้า 1 ต้นต่อ 1 หลุม การย้ายกล้าควรตัดปลายก่อนนำลงปลูกในหลุม

นอกจากวิธีปลูกโดยย้ายกล้าที่เพาะจากเมล้ดนี้แล้วยังสามารถปลูกหน่อไม้ฝรั่งได้อีก คือ โดยวิธีแยกหน่อและการปลูกด้วยลำต้นใต้ดิน (Crown)

การปลูกโดยวิธีแยกหน่อนั้น เป็นการแยกเอาต้นที่โตแล้วไปปลูกซึ่งไม่ค่อยนิยมทำกันนัก ส่วนการปลูกด้วย Crown นั้น นิยมทำกันมาก และจะทำต่อเมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งต้นเก่าแก่แล้วจะโทรมลง ผลผลิตลดลง ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้ เมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งนั้นอายุ 3-4 ปี จะขุดดูลำต้นใต้ดินและเลือกเอาต้นที่สมบูรณ์ไม่ลีบเอาไปปลูก วิธีนี้จะทำให้ได้หน่อเร็วกว่าวิธีย้ายกล้า

พันธุ์ที่ใช้ปลูก เท่าที่ปลูกกันอยู่ทุกวันนี้ใช้พันธุ์ Marry Washington ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรค rust นอกนี้ยังมีพันธุ์ Martha Washington ซึ่งแม้ว่าจะต้านทานต่อโรค rust ได้ดีกว่าแต่ลักษณะอื่นๆ ไม่ดีจึงไม่ค่อยนิยมพันธุ์ California 500 เป็นพันธุ์ใหม่ให้หน่อ (Spear) ที่มีขนาดสม่ำเสมอ พันธุ์ Minnesota 4 – way Cross เป็นพันธุ์ลูกผสมที่จะให้ผลผลิตดีมาก

การปฏิบัติดูแลรักษาในแปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่ง

การให้น้ำ แม้ว่าหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักที่สามารถทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีพอควร แต่ผลผลิตจะมีคุณภาพดีนั้น ย่อมต้องให้น้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ให้น้ำขัง ในแปลงกล้ามักให้น้ำระบบฝอย ส่วนในแปลงปลูกนิยมให้น้ำแบบเข้าร่อง (Furrow System) ในระยะสัปดาห์ละครั้ง ในช่วงเก็บหน่อควรระวังให้น้ำอย่าให้ขาดได้ น้ำเพียงพอจะช่วยให้หน่ออวบและกรอบ

การกำจัดวัชพืช ควรทำตลอดการปลูก ควรใช้การกำจัดโดยมือ เพราะการใช้ยากำจัดวัชพืช จะมีผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพของหน่อ และปริมาณของผลผลิต เนื่องจากพบว่ายาปราบวัชพืชบางชนิด จะทำให้หน่อไม้ฝรั่งมีเสี้ยนหรือการโผล่ของหน่อล่าช้าผิดปกติ

การพูนโคน มีจุดประสงค์เพื่อให้หน่อใหญ่ขึ้น เนื่องจาก จะทำให้ลำต้นใต้ดินใหญ่ขึ้น จะทำการพูนโคนในระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโตดังนี้

  • อายุของหน่อไม้ฝรั่งได้ 1 เดือน จะพูนโคนสูง 6-7 เซนติเมตร
  • อายุได้ 3 เดือน จะพูนโคนสูง 10-12 เซนติเมตร
  • อายุได้ 7 เดือน – 1 ปี จะพูนโคนสูง 15-16 เซนติเมตร
  • อายุได้มากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะพูนโคนสูง 20 เซนติเมตร

ที่ต้องพูนโคนสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากว่าลำต้นใต้ดิน (crown) จะใหญ่ขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น

การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยสูตร 15-15-15 นั้น ควรใส่ปุ๋ยเป็นรองพื้นในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ และหลังจากปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 15-10-15 ในอัตรา 180-200 กิโลกรัมต่อไร่ ในระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิตควรเพิ่มปุ๋ย N และ K ในอัตรา 15-18 กิโลกรัมต่อไร่ เดือนละครั้ง โดยใส่ระหว่างแถวจะเหมาะสม สำหรับการปลูกที่มีการให้น้ำแบบเข้าร่องและให้ปุ๋ยแบบหว่าน จะเหมาะสมกับการให้น้ำแบบฝอย

การตัดต้นแม่ สำหรับในประเทศไทย ต้นหน่อไม้ฝรั่งไม่มีการฟักตัวจะเจริญไปเรื่อยๆ หากได้รับน้ำและปุ๋ยเพียงพอ หากปล่อยให้มีต้นหน่อไม้ฝรั่งเหนือดินมากเกินไป จะทำให้ใช้อาหารมาก ซึ่งหน่อจะมีขนาดเล็กลง จึงต้องตัดจำนวนต้นออกเสียบ้าง ในทางตรงกันข้ามหากตัดต้นเหนือดินออกมากเกินไป จะทำให้ขาดประสิทธิภาพในการสร้างอาหาร จะทำให้ลำต้นใต้ดินแคระแกร็น ผลที่สุดหน่อจะเล็กเช่นกัน โดยทั่วไปมักนิยมตัดไว้ให้เหลือประมาณ 3-4 ต้นต่อกอ และคอยตัดแต่งทุกๆ 3-4 เดือน โดยเลือกตัดต้นที่โทรมทิ้งไป แล้วเลี้ยงต้นแม่ใหม่ขึ้นมาแทน

ชาวสวนที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งแถวหุบกระพง มักจะเลี้ยงต้นแม่ไว้เพียง 1 ต้นต่อกอเท่านั้น และจะเก็บหน่อในฤดูฝนตลอด 3 เดือน หน่อที่ได้จะลีบเล็กและยาว ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของตลาด การปลูกในต่างประเทศ จะไม่มีต้นแม่เหนือดิน จะทิ้งไว้แต่ตอและจะเก็บหน่อที่โผล่ขึ้นมา

การเก็บหน่อไม้ฝรั่ง

ในประเทศไทยหลังจากปลูกลงในแปลงได้ประมาณ 6-12 เดือนจะเริ่มเก็บหน่อได้และจะเก็บในฤดูฝน เพราะในฤดูนี้หน่อไม้ฝรั่งเจริญเติบโตได้ดี ส่วนในฤดูแล้งและฤดูหนาวมักจะเจริญเติบโตไม่ดี ในต่างประเทศต้องใช้เวลาถึง 2 ปีหลังจากปลูกจึงเริ่มเก็บหน่อได้ ในบริเวณที่มีอากาศเย็นนั้น สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ ในฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนและผลผลิตจะลดลงเหลือประมาณ 310 กิโลกรัมต่อไร่ ในเดือนกรกฎาคม นอกเหนือนี้แล้วผลผลิตจะน้อยมาก ทั้งนี้ใช้ระยะปลูก 1 – 5 เมตร

การเก็บหน่อ ควรเก็บตอนเช้าตรู่ หน่อของหน่อไม้ฝรั่งนั้นสามารถเก็บได้ 2 ชนิด คือ หน่อที่แทงทะลุผิวดินขึ้นมา พวกนี้จะมีสีเขียวแล้วเก็บเอาหน่ออ่อนนี้ไป ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่แทงหน่อแล้วทำการพูนดินกลบหน่อไว้ เมื่อขุดหน้าหน่อจะเป็นสีขาว เพราะไม่โดนแสง พวกนี้เหมาะสำหรับเก็บเกี่ยวไปทำอุตสาหกรรมทำหน่อไม้กระป๋อง การเก็บหน่อทั้งเขียวมักจะทำตอนเช้า แดดไม่จัดหรือตอนเย็นแดดอ่อนแล้วแต่ตอนเช้าจะได้หน่อสดกว่าเพราะอวบน้ำ รสชาติจะดีกว่า สำหรับหน่อขาวนั้นควรจะเก็บตอนตี 4 หรือตี 5 ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะถ้าได้รับแสงหน่อจะเป็นสีเขียวและมีเสี้ยน

วิธีการเก็บ สำหรับหน่อขาวเมื่อทำการกลบหน่อไว้และเมื่อมีหน่อยาว 5-6 เซนติเมตร วันต่อมาจะเก็บ ควรปลูกในดินร่วนปนทราย จะเก็บได้ง่าย หน่อพวกนี้จะอวบใหญ่กว่าพวกหน่อเขียว ใช้มีดคมๆ แซะดิน ตัดหน่อเหนือลำต้นใต้ดิน (crown) ประมาณ 2-3 เซนติเมตรและพยายามระมัดระวังมิให้โคนหน่ออื่นๆ ที่ยังเล็กๆ อยู่ มีดที่ใช้ต้องคมและเป็นมีดสำหรับตัดหน่อไม้ฝรั่งโดยเฉพาะ

ในหน่อเขียว ถ้าตัดส่งตลาดสดมักตัดให้ชิดโคน ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นสีขาวขึ้นมาด้วย แม้ว่าส่วนนี้จะเป็นเสี้ยนรับประทานไม่ได้ แต่เพื่อให้แลดูสวยงามและง่ายต่อการจับถือจึงตัดให้ติดมาด้วย โดยทั่วไปหน่อที่เก็บได้ต้องมีความยาว 7-9 นิ้ว จากพื้นดิน การเก็บเกี่ยวอาจใช้มีดธรรมดาคมๆ ตัดก็ได้ แต่ต้องควรระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนมากเช่นเดียวกัน

โดยเฉลี่ยผลผลิตในฤดูฝนจะได้ประมาณ 3.5 กิโลกรัม/ไร่/วัน ปลายๆ ฤดูฝนก็ได้เฉลี่ยประมาณ 2.5 กก./ไร่/วัน โดยที่ 1 กิโลกรัม จะมีหน่อประมาณ 50 หน่อ

หลังจากตัดแล้ว ควรล้างทำความสะอาด และคัดขนาดหน่อ การล้างควรล้างเฉพาะโคนหน่อโดยการจุ่มลงในน้ำเย็น อย่าให้น้ำโดนปลายหน่อ จะทำให้เน่า เสียหายได้ง่าย เมื่อคัดขนาดแล้วควรวางเรียงทางตั้งให้เป็นระเบียบ ขนาดที่ต้องการของตลาดคือ มีความยาว 10-15 เซนติเมตร และเส้นผ่าศูนย์กลางของหน่อประมาณ 1.0-1.5 เซนติเมตร ในนอกฤดูกาลขนาดจะเล็กลงกว่านี้ เมื่อวางให้เป็นระเบียบแล้ว จะมัดส่วนโคนโดยเชือก ให้ส่วนโคนเสมอกัน โดยทั่วไปมัดละ 1/2-1 กิโลกรัม แล้วบรรจุใส่ถุงพลาสติกอีกทีหนึ่ง แล้วบรรจุลงลังเพื่อส่งตลาดต่อไป

การเก็บรักษา หากเก็บรักษาในระยะสั้น มักแช่โคนมัดลงในถาดที่มีน้ำเล็กน้อยหรืออาจใช้น้ำเย็นพรมไปบนหน่อบ้าง เพื่อลดการคายน้ำ ถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ควรเก็บในตู้เย็น หรือเก็บในที่อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานถึง 3 สัปดาห์ อย่างไรก็ดีหากเก็บที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส จะทำให้คุณภาพเสียไป

การกำจัดโรคและแมลงของหน่อไม้ฝรั่ง

พบว่าไม่ค่อยมีโรคและแมลงทำลายหน่อไม้ฝรั่งมากนัก โรคที่พบบ่อยคือ โรคสนิม (rust) เกิดจากเชื้อรา Puccinia asparagi ป้องกันโดยใช้ Sulfer dust หรือใช้พันธุ์ต้านทานโรค แมลงที่พบเข้าทำลายคือ Beetle ป้องกันโดยใช้ยาฉีดพวก Malathion หรือ Sevin สำหรับไวรัสพบบ้างเป็นบางคราวไม่บ่อยนัก