แอฟริกันไวโอเลต (African Violet) เนื่องจากต้นไม้นี้มีถิ่นกำเนิดใน Africa อีกทั้งแต่เดิมนั้นสีของดอกมีสีม่วงเพียงสีเดียว จึงได้ชื่อว่า แอฟริกันไวโอเลต เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นเกียรติกับ Baron Walter Saint Paul ซึ่งเป็นคนพบแอฟริกันไวโอเลตเป็นคนแรกเมื่อปี ค.ศ.1892
แอฟริกันไวโอเลต เป็นไม้ประเภท House Plant หรือไม้ปลูกเลี้ยงภายในบ้านเรือน อันเนื่องมาจากมีความต้องการแสงในความเข้ม (light intensity) ไม่มากนัก คือ ประมาณ 800-1,200 foot-candle นิยมปลูกในกระถางขนาด 4-5 นิ้ว แล้วนำไปตกแต่งทั้งกระถางขณะที่กำลังจะบาน ดอกเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศโดยเฉพาะ ในยุโรปและอเมริกา
พันธุ์ดั้งเดิมของแอฟริกันไวโอเลตนั้น มีกลีบดอกชั้นเดียว (single) และมีสีเดียวคือ สีม่วง (violet) ดอกออกเป็นช่อ ก้านดอกยาวประมาณ 7-10 ซม. กลีบดอกมี 5 กลีบใบเป็นรูปไข่ ขอบใบเรียบ มีขนอ่อนอยู่ทั่วไปทั้งบนใบและใต้ใบ ต่อมาวิทยาการก้าวหน้าไปมาก มีการผสมพันธุ์ ปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ใหม่ ๆ แปลก ๆ ออกมาจนแทบจะนับไม่ถ้วนมีหลายสี มีทั้งสีขาว สีชมพู สีแดง สีเขียวและสีม่วง (mauve and purple) มีทั้งดอกชั้นเดียวก (single) และดอกซ้อน (double) อีกทั้งกลีบดอกเรียบและกลีบดอกหยัก (ruffled)
การขยายพันธุ์แอฟริกันไวโอเลต
แอฟริกันไวโอเลต สามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ โดยเมล็ดและปักชำใบ (leaf cutting)
1. การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เมล็ดของแอฟริกันไวโอเลตมีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าเมล็ดพิทูเนียประมาณ 3-4 เท่า เมล็ด 1 oz มีจำนวนถึง 1,000,000 เมล็ด ฉะนั้น การเพาะเมล็ดจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งตามปกติแล้วไม่นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ นอกจากจะได้เมล็ดจากการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ถ้าจะเพาะจริง ๆ ก็เพาะได้ไม่ยากนัก โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ดินที่ใช้เพาะ ควรจะมีขนาดเล็กและสะอาดปราศจากเชื้อโรค ถ้าเป็นได้ควรจะผ่านการอบฆ่าเชื้อโรคมาก่อน ในต่างประเทศใช้พีทมอสผสมกับทราย อัตราส่วน 1:1 จากการทดลองพบว่า ใช้ทรายผสมกับปุ๋ยมะพร้าวที่ร่อนแล้ว อัตราส่วน 1:1 เช่นกัน หรืออาจจะใช้ดินที่ได้จากการหมักทับถมกันของใบก้ามปู (ใต้ต้นก้ามปู) มาผสมกับทรายก่อนสร้างที่ค่อนข้างละเอียด และปุ๋ยมะพร้าวร่อนแล้วในอัตราส่วน 1:1:1 ซึ่งต่อไปจะเรียกส่วนผสมดังกล่าวว่า “ดินผสม” สำหรับเพาะเมล็ด
- กระบะเพาะอาจใช้กระบะพลาสติกหรือกระถาง 10 นิ้ว ตื้น (ที่ใช้เป็นกระถางสำหรับปลูกไม้กระถางแขวนประดับ) ก็ได้ หากเป็นได้ควรใช้กระถาง 10 นิ้ว จะดีกว่า เพราะสะดวกในการให้น้ำทางก้นกระถาง (sub-irrigation) เมื่อเมล็ดงอกเป็นต้นแล้ว
- คลุกเคล้า “ดินผสม” ที่เตรียมไว้สำหรับเพาะเมล็ดกับน้ำสะอาด ให้ดินผสมชื้นพอสมควร (ไม่แฉะ) แล้วบรรจุลงในกระถางประมาณ 1 ใน 3 หรืออย่างมากไม่เกินครึ่งของความลึกของกระถาง โดยมีเส้นในของปุยมะพร้าวหรือแผ่นกระสอบที่ตัดเป็นชิ้นส่วนรองก้นกระถาง (แทนการใช้เศษกระถางแตกดังที่ใช้ในการปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป)
- เมล็ดที่จะใช้เพาะไม่ควรเกิน 1,000 เมล็ด ต่อ 1 กระถาง อาจจะเป็นการยากเหลือเกินที่จะนับเมล็ดให้เป็นไปตามนี้ เพราะเมล็ดมีขนาดเล็กมาก แม้แต่จะหายในแรง ๆ เมล็ด อาจจะปลิวหายไปตามลมหายใจเข้าออกก็ได้ แต่เราสามารถจะกะแบ่งเมล็ดได้ในจำนวนที่ใกล้เคียง เพราะถ้าเราสั่งซื้อเมล็ดจากบริษัทที่เชื่อถือได้ แต่ละซองของเมล็ดเขาจะบอกปริมาณ หรือน้ำหนักบรรจุเอาไว้ให้ชัดเจน ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพาะกระถางละประมาณไม่เกิน 1,000 เมล็ด เราก็แบ่งเมล็ดออกเป็น 8 ส่วน หรือ 4 ส่วน ตามลำดับ ตามขนาดที่ระบุไว้หน้าซอง
2. การขยายพันธุ์ โดยใช้ใบปักชำ (Leaf-cutting) การตัดชำเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันในหมู่นักปลูกเลี้ยงต้นไม้สมัครเล่น แต่ไม่นิยมทำเป็นการค้าเพราะได้จำนวนต้นน้อยและเสียเวลามาก จากวันเริ่มปักชำใบจนได้ต้นใหม่ใช้เวลา ประมาณ 2 เดือน
ใบที่จะนำไปปักชำ ไม่ควรเป็นใบที่แก่ (ใบล่าง ๆ) หรืออ่อน (ใบยอด) ควรจะเป็นใบที่กำลังดี คือ อยู่ตอนกลาง ๆ ของต้น การตัดใบควรจะให้มีก้านติดมาประมาณ ครึ่งนิ้ว ทั้งนี้เพื่อจะใช้ยึดเกาะติดกับวัสดุที่ใช้ปักชำ (มิให้ใบโค่นล้มได้ง่าย) การปักชำควรจะได้มีการจัดเรียงอย่างมีระเบียบ หันหน้าใบ หรือหลังใบไปในทางเดียวกันโดยตลอดอย่างมีระเบียบ พยายามอย่าให้ขอบชนกัน อาจจะชำในกระถาง 10 นิ้ว ตื้นเช่นเดียวกับที่ใช้เพาะเมล็ด หรือภาชนะอื่นใดก็ได้ที่หาง่ายและสะดวก
ดิน (medium) ที่ใช้ชำอาจจะใช้เช่นเดียวกันกับ “ดินผสม” ที่ใช้เพาะเมล็ดก็ได้ การให้น้ำควรจะให้ทางก้นกระถาง (Sub-irrigation) และถ้ามีทางรักษาใบที่ใช้ชำให้สดใสอยู่เสมอ (ไม่เหี่ยว) จะทำให้ออกรากและสร้างต้นใหม่เร็วขึ้น อาจจะใช้ถุงพลาสติกใส่หุ้มทั้งกระถางเอาไว้เลย เพื่อช่วยรักษาความชื้อไว้ก็ได้ หรืออาจจะชำในน้ำก็ยังไหว โดยให้เฉพาะส่วนที่เป็นก้านจุ่มอยู่ในน้ำ ก็จะออกรากได้เช่นกัน
ถ้าเป็นได้ ควรใช้ฮอร์โมนเร่งราก เช่น IBA (Indole Acetic Acid) ความเข้มข้น 50 ppm. จุ่มก้านใบก่อนปักชำ จะช่วยให้ออกรากได้เร็วขึ้น รอจนต้นใหม่งอกสูงประมาณ 1-2 นิ้ว จึงย้ายปลูก
การปลูกแอฟริกันไวโอเลต
ดินที่ใช้ปลูกแอฟริกันไวโอเลตควรจะมีอินทรียวัตถุ (Organic Matter) สูง ๆ อาจจะใช้ทราย 1 ส่วน, ใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยมะพร้าว 1 ส่วนก็ได้ ในต่างประเทศใช้พีทมอส 2 ส่วน เพอไรท (perlite) 1 ส่วน ใบไม้ผุ หรือดินดี ๆ 1 ส่วน แต่อย่างไรก็ตาม ดินผสม 1 ลูกบาตรเมตร ควรจะเติมปุ๋ย 2:1:3 ลงไป 1 กก. กระดูกป่น หรือ Single super phosphate 1 กก. pH ประมาณ 6-6.5 มีการระบายน้ำดี แต่สามารถจะอุ้มน้ำไว้ได้ด้วย
การให้น้ำ
ในระยะแรก ๆ ของการเจริญเติบโตขณะที่อยู่ในกระถาง ให้มีการให้น้ำทางก้นกระถาง ส่วนเมื่อลงกระถางเดี่ยวแล้วนั้น ถ้ายังสามารถให้น้ำทางก้นกระถางได้ย่อมไม่มีปัญหา และเป็นการดีมาก หรืออาจะให้แบบอื่นก็ได้ แต่ไม่ควรให้น้ำเปียกใบเป็นอันขาด เพราะปัญหาเรื่องโรคจะติดตามมา
นอกจากในที่ที่ปลูกนั้น มีการถ่ายเทอากาศดี น้ำที่เปียกใบสามารถจะแห้งหรือระเหยไปภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง ในต่างประเทศ ใช้ระบบการให้น้ำแบบก้นกระถาง โดยใช้ทรายก่อสร้างใส่บนโต๊ะหน้า 1 นิ้วครึ่ง แล้ววางกระถางไปบนทรายและหล่อน้ำให้เปียกทรายอยู่เสมอ บางแห่งก็ใช้ระบบการให้น้ำแบบหยด บางแห่งอาจใช้ Mat irrigation
สำหรับเมืองไทยถ้าปลูกไม่มากนักอาจจะใช้หยอดน้ำอย่างระมัดระวังไม่ให้เปียกใบทีละกระถางจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งเสียเวลามาก หรืออาจจะใช้จานรองก้น กระถางแต่ละกระถางไปก็ดีไม่น้อย เพราะเราปั้นกระถางได้เอง ราคาถูกและการให้น้ำแบบนี้ยังสามารถผสมปุ๋ยลงไปในน้ำที่ใส่ไว้ในจานรองก้นกระถางได้อีกด้วย
แมลงศัตรูพืชของแอฟริกันไวโอเลต
- Cyclamen mite เป็นปัญหาสำคัญมาก เพราะมีขนาดตัวเล็กมาก ต้องใช้แว่นขยายจึงจะมองเห็นตัวได้ มันจะทำลายยอดอ่อน ทำให้ใบและยอดเสียรูปไป
- Aphids ทำลายดอกเป็นส่วนใหญ่
- Mealy bug ทำลายโคนใบ
- Thrips ทำลายดอก
โรค
Powdery mildew เกิดขึ้นกับทั้งดอกและใบ ทั้งแมลง และโรคนี้ไม่ควรจะให้เกิดขึ้นกับแอฟริกันไวโอเลตเลย เพราะเกิดขึ้นแล้วทำให้มีตำหนิและยากที่จะรักษา แนะนำให้มีการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงและป้องกันโรคทุกอาทิตย์เป็นประจำ
หากยังเกิดโรคขึ้นกับต้นไม้ ก็ควรจะทำลายเสียให้สิ้นซาก จะปลอดภัยกับต้นและดอกมากกว่า และวิธีการปลูกและดูแลรักษาของเรา อาทิ ดินปลูกเราก็พยายามอบฆ่าเชื้อโรค หรือเลือกหาวัสดุที่สะอาดและใหม่ปราศจากเชื้อโรคมาเป็นเครื่องปลูกอยู่แล้ว การรดน้ำก็พยายามไม่ให้เปียกใบ ซึ่งจะเป็นปัจจัยและแหล่งที่ทำให้เกิดการแพร่โรคได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การป้องกันด้วยการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง และป้องกันโรคให้แอฟริกันไวโอเลตจึงปลอดภัยกว่า
พันธุ์แอฟริกันไวโอเลต
แอฟริกันไวโอเลต จาก catalog ของบริษัท W. Atlee Burpee Co. ปี 1977 มี 3 พันธุ์ คือ
- Blue Fairy Tale เป็นลูกผสม ดอกมีขนาดใหญ่ สีฟ้าเข้ม ยอกเกสรตัวผู้มีสีเหลืองเข้มตัดกับใบที่มีสีเขียวเข้มอยู่แล้ว ทำให้มองดูเด่น
- Pink Fairy Tale เป็นลูกผสมเช่นกัน ดอกมีขนาดใหญ่ สีชมพูเข้มยอดเกสรตัวผู้มีสีเหลืองเข้มตัดกับใบสีเขียวเข้ม ทำให้มองดูสวยไม่แพ้ Blue Fairy Tale
- Ionantha grandiflora ดอกมีขนาดใหญ่สีม่วงเข้ม เป็นที่นิยมมาก และรู้จักกันในชื่อ Usambara Violet.
นอกจากนี้ยังมีพันธุ์แอฟริกันไวโอเลตอื่นอีกหลายพันธุ์ที่นักผสมพันธุ์ได้ผสมขึ้นมา อาทิ เช่น
- Lilian Jarrett มีกลีบดอกซ้อนสีชมพูอ่อน ใบมีสีเขียวเข้ม
- Norseman ดอกมีสีม่วง ใบมีสีเขียวเข้ม การจัดเรียงของใบเป็นไปอย่างมีระเบียบสวยงาม มีก้านใบยาว ส่งให้แผ่นใบปกคลุมกระถาง
- Dolly Dimple เป็นพันธุ์ที่มีพุ่มต้นขนาดเล็ก ดอกสีม่วงอ่อน
- Cambridge Pink มีกลีบดอกซ้อน สีชมพูอ่อน แต่ใจกลางดอกจะมีสีชมพูเข้ม
- Wedgewood พุ่มต้นกว้างใหญ่อาจจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 30 ซ.ม. ดอกสีม่วงอ่อน ใบสีเขียวบรอนซ์
ดังได้กล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า วิทยาการก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีการผสมพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ดังเช่น Mr. Herr. Arnold Fisher ซึ่งเป็นนักผสมพันธุ์ไม้ดอกชาวเยอรมัน สนใจผสมพันธุ์ไม้ดอกอยู่เพียง 3-4 ชนิด คือ African Violet, Gloxinia Cyclamen และ Pansies และเขาสนใจ African Violet เป็นพิเศษ ได้พยายามผสมและปรับปรุงพันธุ์มาประมาณ 15 ปี จึงประสบผลสำเร็จ คือในปี ค.ศ. 1972 เขาได้แอฟริกันไวโอเลตพันธุ์ใหม่ ได้ส่งเข้าประกวดที่ Amsterdam และชนะการประกวดมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในชื่อใหม่ว่า Fisher’s Ballet Violet ซึ่ง Ballet Violet ที่ได้สามารถเจริญเติบโตในสภาพต่าง ๆ ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น (wide range of growing condition) ดอกใหญ่และทน บานดอกดก (long-lasting)
แอฟริกันไวโอเลต จาก Catalog ของบริษัท Ball ประจำปี 1977 มี 15 พันธุ์ คือ
- Abby ดอกขาว
- Dolly ดอกขาว แต่ขอบกลีบดอกสีม่วง
- Rachel ดอกม่วง แต่ขอบดอกมีสีขาว
- Anna ดอกสีชมพูอ่อน กลีบดอกหยัก ใบสีเขียวเข้ม
- Christina ดอกม่วง ก้านดอกตั้งตรง ใบสวยสะดุดตา
- Erica ดอกแดง กลีบดอกหยักใบสวยสะดุดตา
- Eva ดอกม่วง กลีบดอกกึ่งซ้อน (semidouble) ดอกดก พุ่มต้นกะทัดรัด
- Heidi ดอกสีชมพู ใบเขียมเข้ม การจัดเรียงใบเป็นไปอย่างมีระเบียบ
- Helga ดอกม่วง ใบดกมีสีเขียวเข้ม ต้นแข็งแรง
- Inge ดอกม่วงเข้ม กลีบดอกหยักใบสวยเป็นพิเศษ
- Karla ดอกชมพู ใบเขียมเข้ม
- Lisa ดอกชมพูเข้ม ขนาดดอกใหญ่ กลีบดอกหยัก ใบสีเขียวเข้ม เป็นพันธุ์ที่ชนะเหรียญทองในยุโรปมาแล้ว
- Marta สีม่วงเข้ม ดอกใหญ่ กลีบดอกหยัก ต้นแข็งแรง ใบสีเขียวเข้ม
- Meta ดอกม่วงเข้ม กลีบดอกหยักเล็กน้อย การจัดเรียงใบเป็นไปอย่างมีระเบียบ พุ่มต้นสวย
- Ulli ดอกม่วงเข้ม กลีบดอกหยักดอกดก การจัดเรียงใบเป็นไปอย่างมีระเบียบพุ่มต้นสวย