ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งซึ่งได้จากการไถกลบต้น ใบและส่วนต่าง ๆ ของพืช โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วที่ปลูกไว้ หรือขึ้นเองตามธรรมชาติในระยะช่วงออกดอกจนถึงดอกบานเต็มที่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีธาตุอาหารในลำต้นสูงสุด แล้วปล่อยไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง ย่อยสลายเป็นอาหารแก่พืชที่จะปลูกตามมา ปุ๋ยพืชสด นอกจากจะให้ธาตุไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักแก่พืชแล้ว ยังให้ธาตุอาหารรองอื่น ๆ ที่จำเป็นแก่พืช ช่วยปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น ทำให้ดินร่วนซุยสะดวกต่อการไถพรวน นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาในการกำจัดวัชพืชได้อีกด้วย
ลักษณะของพืชที่จะนำมาปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดควรมีคุณสมบัติทั่ว ๆ ไป ดังนี้ คือ
- ปลูกได้ง่ายเจริญเติบโตเร็ว ระบบรากแข็งแรงออกดอกในระยะเวลาอันสั้น คือ ประมาณ 30-60 วัน
- สามารถให้น้ำหนักพืชสดสูง ตั้งแต่ 2,000 กิโลกรัม/ไร่ ขึ้นไป
- ทนแล้งและทนต่อสภาพต่าง ๆ ได้ดี สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล
- มีความต้านทานต่อโรคและแมลง
- สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้มาก และขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว เพื่อทันและเพียงพอต่อความต้องการเมล็ดงอกง่ายและมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง
- ทำการเก็บเกี่ยว ตัดสับ และไถกลบได้ง่าย ไม่ควรเป็นเถาเลื้อยมาก เพราะจะทำให้ไม่สะดวกในการไกกลบ
- ลำต้นอ่อน เมื่อไถกลับแล้วเน่าเปื่อยผุพังได้รวดเร็ว และมีธาตุอาหารพืชสูง
ชนิดของปุ๋ยพืชสด
พืชที่ใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสด แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. พืชตระกูลถั่ว เป็นพืชที่เหมาะจะนำมาเป็นปุ๋ยพืชสดมากกว่าพืชประเภทอื่น เพราะเป็นพืชที่มีคณค่าทางอาหารพืชสูง เมื่อตัดสับและไถกลบจะเน่าเปื่อยผุพังเร็ว โดยเฉพาะจะช่วยเพิ่มธาตุไนโตรเจน ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักของพืช เพราะในการที่พืชจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงนั้น พืชจะต้องได้รับธาตุไนโตรเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งพืชตระกูลถั่วภายหลังไถกลบและเน่าเปื่อยผุพังแล้วก็สามารถจะให้ธาตุอาหารนี้แก่พืชที่ปลูกตามหลังอย่างมากมาย เพราะรากถั่วจะมีปมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ปมรากถั่ว (nodule bacteria) ซึ่งมีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ไรโซเบียม (Rhizobium) อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จุลินทรีย์เหล่านี้สามารถดึงเอาธาตุไนโตรเจนที่มีอยู่ในอากาศมาไว้ในปมรากถั่วเปรียบเสมือนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยไนโตรเจน จากนั้น เมื่อเราปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินก็จะเป็นการประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้บ้าง และในขณะเดียวกันเศษพืชที่สลายตัวเน่าเปื่อยลงไปในดินก็จะเพิ่มธาตุอาหารพืชที่สำคัญ ๆ หลายชนิดให้แก่ดิน ตลอดจนเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุแก่ดิน ช่วยปรับปรุงสภาพของดินอยู่ในลักษณะที่เหมาะสมในการปลูกพืช
พืชที่ใช้ทำปุ๋ยสดเป็นพืชตระกูลถั่ว ก่อนปลูกควรพิจารณาถึงสภาพพื้นที่ที่จะปลูก ลักษณะและคุณภาพของดินประกอบด้วย เพื่อให้สามารถใช้ได้ดี และให้ปริมาณน้ำหนักพืชสดสูง โดยพิจารณาชนิดพืชที่ใช้ปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ดังนี้
1.1 โสนไต้หวัน (Sesbania sesban) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีดอกสีเหลืองเป็นช่อ สามารถขึ้นได้ในดินทั่ว ๆ ไป แต่จะขึ้นได้ดีในดินเหนียวที่มีน้ำขัง หรือบริเวณที่ลุ่มที่มีน้ำท่วมถึง จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าวภาคกลาง หรือดินภาคอื่น ๆ ที่มีสภาพของดินและสภาพพื้นที่เหมือนกัน นอกจากนี้โสนไต้หวันยังทนแล้งได้ด้วย
1.2 โสนอินเดีย (Sesbania speciosa) เป็นพืชที่มีดอกสีเหลืองเป็นช่อ ดอกใหญ่กว่าดอกโสนไทย และโสนไต้หวัน มีลำต้นสูงและทนต่อความแห้งแล้งได้ดีกว่าโสนไต้หวัน เป็นพืชที่ให้น้ำหนักสดสูงมากพืชหนึ่ง โสนอินเดียชอบดินที่ค่อนข้างจะเป็นด่าง จึงนิยมปลูกบนที่ดอนไม่ว่าจะเป็นดินเหนียว ดินร่วน หรือดินทราย ก็สามารถปลูกขึ้นได้ดี เมื่อขึ้นแล้วน้ำขังก็ไม่ตาย
1.3 โสนคางคก (Sesbania aculeata) เป็นพืชที่มีลำต้นขรุขระขึ้นได้ดีในบริเวณที่มีน้ำขัง และสามารถขึ้นได้ดีในดินเค็ม ฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าวที่ปลูกในดินเค็ม
1.4 ปอเทือง (Crotalaria juncea) มีลำต้นคล้ายปอแก้ว ดอกจะมีสีเหลืองอยู่กระจัดกระจาย จัดว่าเป็นพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดที่ดีเยี่ยมชนิดหนึ่ง ซึ่งจะหาพืชชนิดอื่นเทียบได้ยาก เนื่องจากเมื่อไถกลบแล้วจะผุพังได้รวดเร็วและเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินในปริมาณมาก ปอเทืองสามารถขึ้นได้ในดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย หรือดินลูกรัง แต่ไม่ชอบขึ้นในดินที่ชื้นหรือมีน้ำขัง ดังนั้นจึงนิยมปลูกบนที่ดอน
1.5 ถั่วพร้า (Canvalia ensifomis) เป็นพืชที่ลำต้นตรง บางชนิดก็เลื้อยพัน เจริญเติบโตได้รวดเร็ว มีรากลึก ใบใหญ่ กว้าง ลำต้นแข็งแรง ดอกมีสีแดงอ่อน ม่วงอ่อน หรือขาว เป็นพืชทนแล้งได้ดี สามารถขึ้นได้ในดินทั่วไปแต่นิยมปลูกทำเป็นปุ๋ยพืชสดในพื้นที่ปลูกพืชไร่ แต่บางครั้งก็นำมาปลูกในดินนาช่วงหน้าแล้งไม่มีน้ำขังได้ดีเหมือนกัน
1.6 ถั่วประเภทเถาเลื้อย เช่น ถั่วลาย ถั่วเสี้ยนป่า ไมยราบไร้หนามเว็ลเว็ท คาโลโปโกเนียม ซีรูเลียมและอัญชัน พืชเหล่านี้ใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นพืชคลุมดินในสวนผลไม้ เพื่อปราบวัชพืชบางชนิดแล้วใต้ต้นหรือใบที่ร่วงหล่นทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน อันเป็นประโยชน์แก่ไม้ผล ที่ปลูกมากกว่าจะตัดสับแล้วไถกลบ
1.7 ถั่วประเภทใช้เมล็ดอื่น ๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วพุ่ม ถั่วนา ถั่วลิสง ก็สามารถใช้ปลูกทำเป็นปุ๋ยพืชสดได้
2. พืชชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว เช่น พวกพืชตระกูลหญ้าก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ แต่พืชพวกนี้ส่วนใหญ่จะให้แต่เพียงอินทรีย์วัตถุ ส่วนธาตุอาหารพืชอย่างอื่นมีปริมาณน้อยกว่าพืชตระกูกลถั่ว ฉะนั้น ขณะที่ทำการไถกลบพืชตระกูลหญ้าลงไปในดิน จึงนิยมหว่านปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบเพิ่มลงไปด้วยในอัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ ทั้งนี้แล้วแต่อายุของพืชที่ถูกกลบ
3. พืชน้ำ พืชน้ำชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าว คือ แหนแดง (Azolla) เนื่องจากแหนแดงเป็นที่อาศัยของแอลจีบางชนิด สามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศมาให้แหนแดงเน่าเปื่อยผุพัง ก็จะให้ไนโตรเจนและอินทรีย์วัตถุแก่ดิน แหนแดงสามารถเลี้ยงขยายในนาข้าวแล้วทำเป็นปุ๋ยพืชสด โดยจะให้ไนโตรเจนได้ถึง 4-6 กิโลกรัม/ไร่ นอกจากนี้ยังนำมาเพาะขยายพันธุ์ได้ในดินที่มีน้ำขัง เราจึงมักพบแหนแดงมีขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติบริเวณที่มีน้ำขังเสมอ
การปลูกพืชเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อปรับปรุงดิน
ในการปลูกพืชเพื่อทำปุ๋ยพืชสดให้ได้ผลดีนั้นควรพิจารณาถึงปัจจัย 3 ประการ คือ
1. ลักษณะของดิน เนื่องจากพืชตระกูลถั่วชนิดต่าง ๆ นั้น ขึ้นได้ดีในดินที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นก่อนปลูกควรปรับปรุงสภาพของดินให้เหมาะสม เช่น ถ้าเป็นดินเปรี้ยว ควรใส่ปูนลงไปก่อน ถ้าเป็นดินทราย ควรใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 3-9-6 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ หว่านเป็นปุ๋ยรองพื้นก่อนปลูก จะช่วยให้พืชสดเจริญเติบโตและให้น้ำหนักสดสูงด้วย
2. เวลาฤดูกาลที่ปลูก เวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ ปลูกช่วงต้นฤดูฝนหรือปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวพืช ซึ่งความชื้นในดินยังมีอยู่ หรือปลูกก่อนการปลูกพืช หรือปักดำข้าวประมาณ 3 เดือน ในช่วงปลายฤดูฝนก็สามารถปลูกได้แต่ต้องมีความชื้นในดินอยู่บ้าง
3. วิธีการปลูก มีหลายวิธีด้วยกัน คือการปลูกแบบโรยเมล็ดเป็นแถว หยอดเป็นหลุม หรือหว่านเมล็ดลงไปทั่วแปลงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีหว่าน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดแรงงานกว่า ซึ่งควรทำการไถดะก่อนแล้วจึงหว่านเมล็ดลงไป หลังจากนั้นจึงทำการคราดกลบเมล็ด ถ้าเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ควรคราดกลบให้ลึกหน่อย เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
การใช้เมล็ดพันธุ์พืชสดที่เหมาะสมเพื่อไถกลบในพื้นที่ 1 ไร่ ควรใช้อัตราเมล็ด ดังนี้
- ปอเทือง 5 กิโลกรัม
- โสนอินเดีย 5 กิโลกรัม
- โสนคางคก 5 กิโลกรัม
- โสนไต้หวัน 4 กิโลกรัม
- ถั่วพร้า 5 กิโลกรัม
- ถั่วเขียว 5 กิโลกรัม
- ถั่วเหลือง 8 กิโลกรัม
- ถั่วพุ่ม 8 กิโลกรัม
- ถั่วนา 8 กิโลกรัม
- ถั่วลาย 2 กิโลกรัม
- ถั่วเสี้ยนป่า 2 กิโลกรัม
- ไมยราบไร้หนาม 2 กิโลกรัม
- ถั่วเว็ลเว็ท 10 กิโลกรัม
- คาโลโปโกเนียม 2 กิโลกรัม
- อัญชัน 3 กิโลกรัม
วิธีการใช้ปุ๋ยพืชสด
วิธีการใช้ปุ๋ยพืชสดแบ่งการใช้ได้เป็น 3 วิธี คือ
1. ปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดในพื้นที่แปลงใหญ่ แล้วทำการตัดสับและไถกลบลงไปในพื้นที่นั้นเลย ก่อนที่จะปลูกพืชหลักชนิดอื่น ๆ ตามมา
2. ปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดแซมในระหว่างร่องพืชหลักที่ปลูก โดยปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยสดหลังจากพืชหลักเติบโตเต็มที่แล้ว เพื่อป้องกันการแย่งธาตุอาหารในดิน เมื่อพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดเริ่มออกดอกจนถึงดอกบานก็ทำการตัดสับ และไถกลบลงไปในดินระหว่างร่องปลูกพืชหลัก
3. ปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดในพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่า หรือ ตามหัวไร่คันนาแล้วตัดสับเอาส่วนของพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดนำมาใส่ในแปลงเพื่อจะทำการปลูกพืชหลัก แล้วไถกลบลงไปในดิน
การตัดสับและไถกลบพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสด
ในการตัดสับและไถกลบพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึงอายุของพืชเป็นสำคัญ ควรกระทำเมื่อมีปริมาณธาตุไนโตรเจนในพืชสูงสุด และให้น้ำหนักสูงด้วย ฉะนั้น ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตัดสับและไถกลบ จึงควรทำขณะที่ต้นถั่วเริ่มออกดอกไปถึงระยะที่ดอกบานเต็มที่ เนื่องจากในระยะนี้ต้นถั่วเจริญงอกงามสูงสุด และเป็นระยะที่องค์ประกอบของปุ๋ยพืชสดอยู่ในขั้นที่เหมาะสมเต็มที่ เนื่องจากในระยะนี้ต้นถั่วเจริญงอกงามสูงสุด และเป็นระยะที่องค์ประกอบของปุ๋ยพืชสดอยู่ในขั้นที่เหมาะสมแก่การสลายตัว เมื่อไถกลบแล้วจะทำให้มีปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุไนโตรเจนสะสมอยู่ในดินสูงด้วย แต่ถ้าหากอายุแก่เลยระยะนี้ไปแล้วจำนวนธาตุไนโตรเจนในพืชลดลง
ตารางแสดงอายุการตัดสับและไถกลบ น้ำหนักสดและธาตุไนโตรเจนที่ได้รับของพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดบางชนิด
ชนิดพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสด | อายุการตัดสับและไถกลบ (วัน) | น้ำหนักสดที่ได้ (ตัน/ไร่) | ธาตุไนโตรเจน (กก./ไร่) |
ปอเทือง | 75-90 | 3-4 | 15-20 |
ถั่วพุ่ม | 40-50 | 2-3 | 20 |
ถั่วข้าว | 60-75 | 3-4 | 20 |
ถั่วเหลือง | 50-60 | 1.5-2 | 5 |
ถั่วเขียว | 40-50 | 2 | 5-6 |
โสนจีนแดง | 75-90 | 3-4 | 7-8 |
นอกจากนี้ยังมีปุ๋ยพืชสดบางชนิดที่มีอายุยาวมาก จึงแนะนำให้ตัดสับและไถกลบ ดังนี้
- โสนอินเดีย ตัดสับและไถกลบ เมื่ออายุ 80-90 วัน
- คราม ตัดสับและไถกลบ เมื่ออายุ 90-100 วัน
- โสนไต้หวัน ไถกลบ เมื่ออายุ 75-90 วัน
- ถั่วเว็ลเว็ท ไถกลบ เมื่ออายุ 80-90 วัน
- ถั่วนาตัด ไถกลบ เมื่ออายุ 75 วัน
พืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดชนิดใดที่มีลำต้นเตี้ย ให้ทำการไถกลบด้วยแรงสัตว์ได้เลย แต่ถ้ามีลำต้นสูง หรือเถาเลื้อยก็ควรตัดให้ติดผิวดิน โดยตัดเป็นท่อน ๆ เสียก่อน แล้วจึงไถกลบ เมื่อพืชไถกลบถูกฝังอยู่ใต้ดินแล้วก็จะเริ่มเน่าเปื่อยผุพังเป็นปุ๋ยทั้งหมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดและอายุของเศษพืชนั้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศและความชื้นในดินด้วย หลังจากนั้นจึงทำการปลูกพืชตามได้
ประโยชน์ของปุ๋ยพืชสด
- ช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
- ช่วยเพิ่มธาตุไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักให้แก่พืช
- ช่วยบำรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินและให้ดินอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
- ทำให้ดินร่วนซุย สะดวกในการเตรียมดินและไถพรวน
- ช่วยในการปราบวัชพืชบางชนิดได้เป็นอย่างดี
- กรดที่เกิดจากการผุพังของพืชสด จะช่วยละลายธาตุอาหารในดินให้แก่พืชได้มากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้บ้าง
- ลดอัตราการสูญเสียของดินอันเกิดจากการชะล้าง
- ช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชให้สูงขึ้น
การปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์
การปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์นั้นมีปัญหา คือ พืชบางชนิดเก็บเมล็ดได้ง่าย บางชนิดเก็บได้ยากหรือเก็บไม่ได้เลย เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปัญหาในการปลูกก็แล้วแต่ชนิดของพันธุ์พืชและวิธีการปลูก ดังนั้น จึงสมควรที่จะต้องทราบวิธีการปลูกพืชที่จะนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์เป็นขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. การเลือกที่ดิน ควรเลือกดินร่วมปนทราย หรือดินร่วนตะกอน มีการระบายน้ำดี มีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในระหว่าง 6-7 ถ้าดินมีธาตุอาหารและความชื้นพอเหมาะ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์จะสูงมาก แต่ถ้าเป็นดินที่ขาดธาตุอาหาร ต้องให้ปุ๋ยเคมีช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชในระยะแรกด้วย
2. ฤดูปลูกที่เหมาะสม ภาคกลางควรปลูกปลายฤดูฝน ประมาณเดือน สิงหาคม-กันยายน สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรปลูกประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม หรือจะปลูกเมื่อฤดูฝนหมดแล้วก็ได้ แต่จะต้องเก็บเมล็ดในเดือนเมษายนเป็นอย่างช้า ถ้ามีฝนตกระหว่างการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ ฝักจะขึ้นรา และเมล็ดจะเสียด้วย นอกจากนี้ การตาก นวดและฝัด จะทำได้ไม่สะดวก
3. การเตรียมดิน ผลผลิตของพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดขึ้นอยู่กับการเตรียมดินด้วย ฉะนั้นจึงต้องเตรียมดินให้ดีก่อนที่จะหยอดเมล็ดพันธุ์ โดยการไถดะลึกแล้วทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ เพื่อทำลายวัชพืชให้น้อยลงแล้วจึงไถแปรตามอีกครั้ง เมื่อความชื้นในดินพอเหมาะก็ปลูกได้ ซึ่งความชื้นในดินมีความสำคัญต่อการงอกงามของเมล็ดและการเจริญของต้นอ่อนมาก
4. การเตรียมเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ที่จะใช้ปลูกควรหาเปอร์เซ็นต์ความงอกก่อนการนำไปปลูก เมล็ดพันธุ์ถั่วบางชนิดหากเก็บไว้เกิน 5 เดือน ความงอกของเมล็ดจะลดต่ำลงกว่า 50% เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เป็นต้น นอกจากนี้เมล็ดพันธุ์จะต้องสะอาดไม่มีสิ่งเจือปน ควรคัดเอาเมล็ดลีบออกให้หมดเวลาปลูกจะได้งอกสม่ำเสมอ
5. อัตราของเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูก พืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดที่ปลูกเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์นิยมปลูกเป็นแถว โดยมีระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว เพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว จำนวนเมล็ดที่ใช้ปลูกต่อ 1 ไร่นั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของเมล็ดและระยะปลูก ถ้าเมล็ดขนาดเล็ก จะใช้ประมาณ 1-2 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดขนาดใหญ่จะใช้ประมาณ 5-6 กิโลกรัม/ไร่
อัตราเมล็ดพันธุ์และระยะปลูกที่ใช้ปลูกเพื่เก็บเมล็ดพันธุ์ขอแนะนำดังนี้
ชนิดพืช | ระหว่างต้น (ซม.) | ระหว่างแถว (ซม.) | น้ำหนักเมล็ด (กก./ไร่) |
ปอเทือง | 30-50 | 100 | 2 |
โสนอินเดีย | 50 | 100 | 2 |
โสนคางคก | 50 | 100 | 2 |
ถั่วเขียว | 20-40 | 50 | 3 |
ถั่วเหลือง | 25 | 50 | 5 |
ถั่วลิสง | 20-30 | 50 | 12 |
ถั่วพุ่ม | 20-30 | 50 | 3 |
ถั่วลาย | 50 | 100 | 1 |
ไมยราบไร้หนา | 50 | 100 | 1 |
ถั่วเสี้ยนป่า | 50 | 100 | 2 |
6. วิธีการปลูก มีด้วยกันหลายวิธี คือ ปลูกแบบโรยเป็นแถว หยอดเป็นหลุม และหว่านเมล็ดลงไปทั่วแปลง แต่ในการปลูกเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์นิยมใช้วิธีการปลูกแบบโดยเป็นแถว ระยะปลูกใช้ตามคำแนะนำ โดยปลูก 4-6 แถวติดต่อกันและควรเว้นทางไว้สำหรับเข้าไปพ่นยาปราบศัตรูพืช แต่ถ้าเป็นวิธีการปลูกแบบหยอดเมล็ด ให้หยอดเป็นหลุม ๆ ละ 3-5 เมล็ด แล้วกลบเมล็ด ถ้าเมล็ดเล็กไม่ควรหยอดให้ลึก แต่ถ้าเมล็ดใหญ่ หยอดให้ลึกได้ จะช่วยให้การงอกดีขึ้น
สำหรับเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดที่งอกยาก เช่น โสนอินเดีย ถั่วลาย ถั่วเสี้ยนป่า ฯลฯ ควรใช้น้ำร้อนจัด 2 ส่วน ผสมน้ำเย็น 1 ส่วน แล้วเทเมล็ดลงไปในน้ำอุ่นใช้ไม้คนให้ทั่ว แช่ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง หรือ 1 คืน จากนั้นเทน้ำทิ้งพอเมล็ดหมาด ๆ จึงนำไปปลูกได้
7. การดูแลรักษา ในการปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสด เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ควรมีการพรวนดินกำจัดวัชพืช และถอนต้นที่ไม่สมบูรณ์ออกหลังจากหยอดเมล็ดไปแล้วประมาณ 7-10 วัน โดยเหลือไว้หลุมละ 2-3 ต้น การพรวนดินกลบโคนต้นควรทำเมื่อพืชอายุไม่เกิน 30 วัน จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตเร็ว ต้นไม่ล้มง่าย
8. การใส่ปุ๋ย แปลงพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดควรมีการใส่ปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยร็อคฟอสเฟตอัตรา 10 กก./ไร่ หรือใช้แอมโมเนียซัลเฟต 10 กก. ผสมกับปุ๋ยแอมโมฟอส (16-20-0) 10 กก. รวม 20 กก.ไร่ ใส่หลังจากพรวนดินและกำจัดวัชพืชเมื่ออายุประมาณ 3 สัปดาห์หลังปลูก ในดินบางแห่งที่เป็นกรด จำเป็นต้องใส่ปูนขาวอัตรา 100 กก./ไร่ ก่อนใส่ปุ๋ยเคมี
9. การป้องกันกำจัดศัตรูพืช การปลูกพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ ถ้าไม่มีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแล้วจะเก็บเมล็ดไม่ได้ ซึ่งศัตรูของพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดมีหลายชนิด เช่น หนอนม้วนใบ หนอนกันกินใบ และยอดอ่อนหนอนเจาะลำต้น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น ฯลฯ ดังนั้น จึงควรมีการตรวจดูหนอนและแมลงให้ทั่วแปลง ตั้งแต่ปุ๋ยสดเริ่มออกดอกไปจนกระทั่งถึงระยะติดเมล็ดในช่วงเช้าก่อนมีแสงแดด เมื่อตรวจพบก็รีบฉีดยาปราบศัตรูพืชทันทีโดยใช้ ดี.ดี.ที. 25% ชนิดน้ำ จำนวน 4 ช้อนต่อน้ำ 1 ปี๊บ หรือดีลดริล 2-3 ช้อน ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ทำการฉีดพ่นให้ทั่วแปลงทุกระยะ 5-7 วัน นอกจากหนอนและแมลงแล้ว ปุ๋ยพืชสดบางชนิด เช่น ปอเทืองจะมีโรคที่เกิดจากเชื้อไว้รัส โดยที่แมลงเป็นพาหะ ทำให้ใบพืชเล็ก ดอกเป็นฝอยไม่ติดฝัก ป้องกันกำจัดได้โดย หลีกเลี่ยงการปลูกพืชซ้ำที่เดิม
10. การเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ พืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดต่างชนิดกันจะมีอายุการเก็บเกี่ยวและวิธีการเก็บเกี่ยวแตกต่างกันดังนี้
ชนิดพืช | อายุเก็บเกี่ยว (วัน) | ผลผลิตที่คาดว่าจะได้ (กก./ไร่) | วิธีเก็บเกี่ยว |
ปอเทือง | 100-200 | 80 | เก็บทั้งกิ่งหรือทั้งต้น |
โสนอินเดีย | 150-160 | 40 | เลือกเก็บเฉพาะฝักแก่ |
ถั่วเขียว | 60-70 | 150 | ,, |
ถั่วพุ่ม | 65-80 | 75 | ,, |
ถั่วลาย | 270-300 | 10 | ,, |
ถั่วเสี้ยนป่า | 90-120 | 30 | ,, |
ถั่วเหลือง | 100-120 | 300 | เลือกเก็บต้นที่มีฝักแก่ทั้งต้น |
ฝักของพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสดบางชนิดที่แก่แล้ว ถ้าไม่เก็บเกี่ยวเมื่อถูกแสงแดดฝักจะแตก เมล็ดร่วงลงดินหมด ถ้าฝักไม่แตกสังเกตดูสีของฝักหรือเขย่าฝักดูการเก็บฝักควรเก็บในตอนเช้า เพื่อป้องกันการแตกของฝัก แล้วขนไปตากในลานนวด ก่อนนวดต้องตากแดดไว้ 3-4 วัน ควรนวดเฉพาะตอนบ่าย เพราะฝักจะแตกง่ายและทุ่นเวลาในการนวด การนวดอาจใช้คนหรือสัตว์ย่ำให้ฝักแตกแล้วจึงนำไปฟาดเอาเมล็ดที่เสียและลีบออก ให้เหลือแต่เมล็ดที่สมบูรณ์ ตากแดดให้เมล็ดพันธุ์แห้งกะว่ามีความชื้นในเมล็ดไม่เกิน 15% ก่อนนำเข้าเก็บ
11. การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสด เมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้นาน 5 เดือน จะมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำเมื่อนำไปปลูกทำให้ไม่งอกหรืองอกน้อย เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ฯลฯ ฉะนั้นเมื่อได้เมล็ดมาก็นำไปปลูกได้เลย ไม่ควรเก็บไว้ แต่เมล็ดพันธุ์บางชนิดสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2 ปี ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง เช่น ปอเทือง โสนอินเดีย ฯลฯ ฉะนั้น จึงต้องมีวิธีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ดังนี้ คือ
- เก็บไว้ในโอ่ง ถัง ปี๊บ ไห หรือกล่องที่สามารถปิดได้มิดชิด แมลงไม่สามารถเข้าไปได้ และอย่าเก็บไว้ในที่ชื้น
- ใช้เมล็ดพันธุ์คลุกขี้เถ้าแกลบ
- ใช้สารเคมีคลุกเมล็ด